
ขอนแก่นเมืองต้นแบบเรียนรวมเด็กออทิสติก
นักวิชาการระบุกิจกรรมและความรักจากครอบครัว ช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กออทิสติกให้ดีขึ้น ขณะที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการจัดการศึกษาพิเศษแบบเรียนรวมสำหรับเด็กออทิสติก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น เตรียมเผยแพร่งานวิจัยหลังประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบระดับประเทศก
บุคคลออทิสติกเป็นผู้ที่มีความบกพร่องในพัฒนาการทางสมองบางส่วน ที่ทำมีความยากลำบากในการสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ และพฤติกรรมซ้ำๆบางอย่างที่เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้อาจารย์อาพร ตรีสูน นักวิจัยจากศูนย์วิจัยและพัฒนาการจัดการศึกษาพิเศษแบบเรียนรวมสำหรับเด็กออทิสติก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า การพัฒนาศักยภาพและทักษะ ของเด็กออทิสติกนั้น มุ่งเน้นที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในบ้านและสังคม ซึ่งการเรียนรู้ในห้องเรียนผ่านกิจกรรม ทั้งธาราบำบัด ห้องสมุดของเล่น ศิลปะบำบัด โดยเฉพาะความรัก ความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่ คนในครอบครัว รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนักกิจกรรมบำบัด กายภาพบำบัด ครู อาจารย์ และนักจิตวิทยา ล้วนมีส่วนช่วยกระตุ้น และส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กเป็นอย่างมาก “สำหรับปี 2554 นี้ ทางศูนย์วิจัยมีโครงการกิจกรรมการพัฒนาผู้ป่วยและเครือข่ายออทิสติก ทั้งโครงการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรวม สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม บกพร่องทางการเรียนรู้และสมาธิสั้น การกระตุ้นผ่านกระบวนการเล่น และศิลปะกับครอบครัวออทิสติก ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะพัฒนาเด็กทั้งกล้ามเนื้อร่างกาย การสื่อสาร ความสนใจ การช่วยเหลือตัวเองได้”
ด้านดร.อาคม อึ่งพวง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยออทิสติก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า การให้การศึกษากับเด็กออทิสติกอย่างเท่าเทียมกับเด็กทั่วไป ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ศูนย์ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง การจัดระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนให้กับเด็กออทิสติก ถือเป็นนโยบายที่สำคัญที่ทางศูนย์วิจัยได้ดำเนินการมาหลายปีแล้ว โดยมุ่งหวังให้เด็กออทิสติกได้เรียนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นฐานในการวิจัยเรียนร่วมให้เด็ก 20 คน ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียน เพื่อนนักเรียน ครูอาจารย์ และผู้ปกครอง ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี อาการคล้ายกับเด็กปรกติ ซึ่งถือเป็นการประสบผลสำเร็จในระดับชาติ ที่ทำให้ศูนย์วิจัยเป็นต้นแบบให้เด็กออทิสติกเรียนรวมในโรงเรียนร่วมกับเด็กปรกติด้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีเด็กเรียนรวมจำนวน 20 คน เรียนรวมได้เต็มเวลา 10 คน และเรียนรวมบางรายวิชาอีก 10 คน ซึ่งต่อไปจะนำงานวิจัยการเรียนร่วม เผยแพร่ไปทั่วประเทศ เพื่อเด็กทุกคนได้มีสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน