ไลฟ์สไตล์

กว่า70ปีน้ำปลาตราชู (ตราชั่ง)" 
วันนี้ถึงยุคต้องรุกการตลาด

กว่า70ปีน้ำปลาตราชู (ตราชั่ง)" วันนี้ถึงยุคต้องรุกการตลาด

02 เม.ย. 2554

กว่า 7 ทศวรรษในการดำเนินกิจการผลิตน้ำปลา "ตราชู (ตราชั่ง)" ของกระกูล "ตันติเวชวุฒิกุล" แต่ที่ผ่านมาจะเน้นในรูปแบบของกิจการภายในครอบครัว ทำให้ผลิตภัณฑ์น้ำปลา "ตราชู (ตราชั่ง)" รุกตลาดในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และกระจุกในพื้นที่ภาคตะวันออก ล่าสุดทายาทรุ่นที่

  สันติ บอกว่า มาถึงวันนี้ผลิตภัณฑ์น้ำปลา "ตราชู (ตราชั่ง)" ออกสู่ตลาดมากว่า 70 แล้ว นับตั้งแต่คุณปู่ใช้ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมาผลิตน้ำปลาจำหน่ายเล็กๆ น้อยๆ จนประทั่งในปี 2511 จึงขยับมาเป็นการผลิตในรูปแบบของโรงงาน แต่ยังเป็นกิจการในครัวเรือน ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์น้ำปลาตราชู หลังจากที่เขาบริหารจึงเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าหรือแบรนด์ใหม่ เป็น "น้ำปลาตราชู (ตราชั่ง)" แต่คงไว้ตราชั่ง เพื่อป้องความสับสนของผู้บริโภคที่อาจเข้าใจผลิตว่า น้ำปลาตราชูกับตราชั่งนั้นคนละยี่ห้อจึงใช้น้ำปลาตราชู (ตราชั่ง) ดังกล่าว

 "เดิมทีเราดำเนินกิจการของครอบครัว ไม่ได้เน้นการขยายตลาดเท่าไรนัก ลูกค้าหลักของเราอยู่ในภาคตะวันออกเป็นหลัก แต่ด้วยที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เราอยู่ได้ถึง 70 ปี แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยผ่านมรสุมเศรษฐกิจมาหลายตลบ แต่เราประคองได้ ตอนนี้เรามีส่วนแบ่งการตลาดของน้ำปลาภายในประเทศอยู่ที่ 10% พอผมมาบริหาร ผมจึงขยายตลาดจากในแถบภาคตะวันออกสู่ภูมิภาคอื่นๆ แต่ยอมรับว่ายังไม่สามารถเข้าไปเจาะตลาดได้มากเท่าที่ควร เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่แบรนด์เนมอื่นๆ ที่มีชื่อเสียง ผลิตภัณฑ์ของเราไม่ค่อยโปรโมทสินค้า อาศัยลูกค้าบอกปากต่อปาก อีกส่วนหนึ่งลูกค้าเราเป็นในลักษณะซื้อของฝากมากกว่า" สันติ กล่าว

 สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำปลาตราชู (ตราชั่ง) สันติ ยืนยันว่า จะเน้นวัตถุดิบที่มีคุณภาพ เป็นปลาไส้ตันที่ผ่านการคัดเลือกเป็นอย่างดี เนื่องจากเขามองว่าที่เขาสามารถยืนหยัดอยู่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ มาจากการที่ได้เน้นด้านคุณภาพที่เป็นจุดขายมาโดยตลอด นอกจากนั้นได้มีการพัฒนาระบบการผลิตสมัยใหม่ด้วยการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยจากต่างประเทศ นอกจากนี้ที่โรงน้ำปลาตราชั่ง มีการวางแผนระบบการผลิตอย่างดีด้วยระบบท่อฝังพื้นโยงเข้าสู่สายการผลิตโดยเครื่องจักรที่ทันสมัย มีการประยุกต์จากเครื่องจักรที่มาจากต่างประเทศ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ตราชู (ตราชั่ง) มี 3 เกรดด้วยกันคือน้ำปลาตราชั่งทอง ตราเรือใบแดง ตราครัวไทย และตราแอปเปิ้ลแดง แอบเปิ้ลเขียว เป็นน้ำปลาทั้งบรรจุในขวดแก้ว และขวดพลาสติกหรือขวดเพ็ท (PET) และแตกเป็นหลายยี่ห้อ (Brand) ด้วยกัน เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน

 "ผมเข้ามาบริหารงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการผลิต การตลาด ใช้วิธีบริหารทั้งในรูปแบบของสมัยบรรพบุรุษผสมผสานกับการบริหารสมัยใหม่ จึงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในผลิตภัณฑ์มาโดยตลอด ตรงนี้เราไม่กลัวคู่แข่ง เพราะเชื่อว่าลูกค้าเรายังเชื่อใจในการผลิตที่ได้คุณภาพ แม้ที่ผ่านมาอาจมีคู่แข่งรายใหม่ๆ ก็เกิดยาก เนื่องจากจะต้องใช้เวลา ใช้พื้นที่จำนวนมาก ในการที่จะใช้ในการหมักปลา ที่สำคัญต้องอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบด้วย ตรงนี้เราจึงได้เปรียบ" สันติ กล่าวอย่างมั่นใจ

 ส่วนแผนการตลาด สันติบอกว่า ต้องเน้นลูกค้าเก่าๆ ที่เป็นลูกค้าประจำ ขณะเดียวกันยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ต้องเน้นการตลาดแบบเชิงรุกมากขึ้นด้วย เพื่อความอยู่รอดของกิจการ โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการพยายามหาลูกค้ารายใหม่ๆ และกระจายสินค้าไปตามภูมิภาคต่างๆ ให้มากขึ้น เช่นเดียวกับในตลาดต่างประเทศ จากเดิมส่งออกไปยังเมริกาและฮ่องกงเป็นหลัก แล้วขณะนี้พยายามเข้าไปตีตลาดในยุโรป ญี่ปุ่น และไต้หวันมากขึ้น ขณะที่วิธีการเดิมยังคงไว้ คือ ทำตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา และยังคงเน้นด้านคุณภาพให้มากขึ้น

 "ผลิตภัณฑ์ของเรามี 3 ระดับ คือตลาดระดับบนที่จำหน่ายกันในราคาขวดละ 25-30 บาท เป็นน้ำปลาตราชั่งทอง ผ่านกระบวนการหมัก 18 เดือนขึ้นไป ระดับนี้มี 10% ระะดับกลาง ที่ขายขวดละ 20-23 บาท คือน้ำปลาตราเรือใบแดง มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 50-60% เป็นน้ำปลาผ่านกระบวนการหมัก 12-18 เดือน และตลาดระดับล่าง ระดับล่างราคาขวดละต่ำกว่า 20 บาท คือน้ำปลาจำพวกตราครัวไทย และแอบเปิ้ล มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30-40% ในปีที่ผ่านมาเรามีรายได้ทั้งหมดราว 100 ล้านบาท มาจากตลาดภายในประเทศ 85 ล้านบาท และอีกประมาณ 15 ล้านบาทเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ เมื่อหักต้นทุนมีกำไร 15 ล้านบาท เราก็พออยู่ได้" ทายาทรุ่นที่ 3 ของกระกูล "ตันติเวชวุฒิกุล"

 นับเป็นกิจการในครอบครัวที่เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งที่ยังรักษาคุณภาพ จนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าได้จนถึงวันนี้
 
ผลิตน้ำปลาเอง-กินเอง-ขายได้
 อย่างไรก็ตามหากใครที่สนใจอยากทำน้ำปลาเพื่อบริโภคภายในครัวเรือนเอง มีกรรมวิธีไม่ยากเพียง
 1.เริ่มจากซื้อปลาไส้ตันหัวอ่อนมาล้าง
 2.มาคัดเศษปะปนจำพวกปลาหมึก ปลาอื่นๆ ออก

 3.นำไปคลุกเกลืออัตราปลา 100 กก.คลุกเกลือ 40 กก.
 4.นำไปตากพอแห้งหมาดๆ แล้วไปหมักในโอ่งขนาด 200 ลิตร ปลา 1 ตันได้ 8 โอ่ง

 5.ปิดฝากระจกใสทิ้งไว้ 8-10 เดือน จนน้ำจากปลาออกมาเรียกว่าน้ำหนึ่ง
 6.แล้วตักมาผสมน้ำตาลพอประมาณ แล้วนำไปกรองก่อนบรรจุขวดเก็บไว้ 

วิธีผสม
 เมื่อตักน้ำหัวออก เอาน้ำสะอาดใส่แทนลงไปโอ่งละ 40 ลิต ผสมเกลือ 10 ลิตร หมักเหมือนเดิม 6 เดือน ตักน้ำออกมาต้มให้เดือด แล้วผสมหัวน้ำในอัตรา 33 ลิตรต่อน้ำหัว 7 ลิตร มากรอง แล้วมาบรรจุขวดขนาด 750 ซีซี เก็บไว้บริโภค หรือจำหน่ายก็ได้

" จุไรรัตน์ เกื้อหนุน"