
ต่อยอดเครื่องปั้นดินเผา บางกล่ำ เซรามิกฝีมือเยี่ยมจากดินสามน้ำ
ด้วยวิถีชีวิตของผู้คนชาวอ.บางกล่ำ จ.สงขลา ที่อาศัยอยู่ริมคลองบางกล่ำมาตั้งแต่อดีตจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดเป็นความผูกพันกับสายน้ำที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งในชุมชนแห่งนี้ และเมื่อย้อนกลับไปในอดีตพื้นที่เหล่านี้ยังเคยขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของเครื่องปั้
กระทั่งกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปส่งผลให้การสืบทอดภูมิปัญญาในด้านงานปั้นของบรรพชนเริ่มขาดช่วง และขาดคนรับสืบทอดทำให้นานวันเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องดินเผาจากดินเหนียวสามน้ำแห่งชุมชนบางกล่ำจะหาชมได้ยากยิ่งขึ้น แต่ด้วยความสำนึกในคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงทำให้ "ชาญชัย ทิพย์มณี" หนุ่มใหญ่ซึ่งเป็นลูกหลานชาวบางกล่ำโดยกำเนิด ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของภูมิปัญญาชาวบ้าน จึงได้รื้อฟื้นกิจกรรมการผลิตเครื่องปั้นดินเผาจากดินบางกล่ำขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้
ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องสืบสานมิให้มรดกแห่งชุมชนต้องเลือนหายไปจากพื้นที่บ้านเกิด โดยชาญชัยได้ใช้บ้านหลังเล็กๆ เลขที่ 39 หมู่ 1 ต.บางกล่ำ อ.บางกล่ำ เป็นสถานที่ศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องราวของ “ดินบางกล่ำ” หรือ “ดินสามน้ำ” ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะสีสันเมื่อเผาด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมจะมีสีทีสวยงามเป็นธรรมชาติ และมีความแข็งแรงคงทน
“ผมใช้วิธีศึกษาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับงานปั้นจากคนเฒ่า คนแก่ ในชุมชนเพื่อเรียนรู้ประติมากรรมการปั้นที่เป็นต้นฉบับของชาวบ้านกล่ำโดยแท้ รวมถึงคุณลักษณะโดดเด่นของดินเหนียวสามน้ำ ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีของชุมชน” ชาญชัยเผยข้อมูล
ไม่เพียงเท่านั้น ชาญชัยยังดั้นด้นไปศึกษาค้นคว้า เรียนรู้เกี่ยวกับงานเซรามิกถึงเมืองรถม้า จ.ลำปาง รวมทั้งผ่านการอบรมจากศิลปินด้านงานปั้นจากแดนอาทิตย์อุทัยอีกด้วย โดยหวังจะเอาวิชาความรู้ทั้งหมดมาต่อลมหายใจให้เครื่องปั้นดินเผาบางกล่ำให้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนในอดีตที่เคยรุ่งเรืองอีกครั้ง
ชาญชัย บอกว่าในช่วงแรก ได้ก่อตั้งกิจการบางกล่ำดินเผาขึ้นในชุมชน โดยรวบรวมคนหนุ่มสาวเข้ามาฝึกฝนเกี่ยวกับงานปั้น โดยเริ่มจากการผลิตเครื่องปั้นดินเผาเป็นภาชนะสำหรับเด็กเล่น ของที่ระลึก ของใช้ ของประดับ ตกแต่งบ้าน ต่อมาได้พัฒนาการผลิตจากเครื่องดินเผาแบบพื้นบ้านมาสู่งานเครื่องปั้นดินเผาแบบเคลือบสี หรือเซรามิก หลังจากตลาดเริ่มตอบสนองต่อสินค้าจากชุมชนแห่งนี้มากขึ้น
“ช่วงแรกเราทำเพื่อหวังว่าจะช่วยกันสืบสานภูมิปัญญาของชุมชนให้คงอยู่ และหวังจะมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ พอที่จะให้วัยรุ่นใช้เวลามาปั้นเครื่องปั้นดินเผาเท่านั้น กระทั่งสินค้าเริ่มติดตลาดและมีออเดอร์เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจผลิตเชิงพาณิชย์อย่างจริงจังในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมุ่งมั่นผลิตชิ้นงานจากวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่นเท่านั้น เพราะเราต้องการสะท้อนเอกลักษณ์ของบางกล่ำออกสู่ตลาดให้มากที่สุด” ชาญชัยกล่าว
เขาบอกว่าจุดแข็งของผลิตภัณฑ์เซรามิกดินสามน้ำบางกล่ำ คือดินเหนียวเนื้อละเอียด ซึ่งผ่านกระบวนการหมักเก็บเป็นอย่างดี ก่อนเข้าสู่เตาเผาด้วยอุณหภูมิความร้อนที่ 1,250 องศาเซลเซียส จนได้สีสันสวยงามเป็นธรรมชาติแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่นิยมใช้ดินสำเร็จรูปในปัจจุบัน กอปรกับมีการดีไซน์ที่แตกต่าง เพื่อเพิ่มคุณค่าด้วยประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่าง โดยเฉพาะเหมาะสำหรับการตกแต่งบ้านเรือน โรงแรม รีสอร์ท สปา หรือที่พักตากอากาศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจะผ่านการศึกษาและออกแบบเพื่อให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสมที่สุด ทั้งนี้สนนราคาตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักพัน
เซารามิก "ดินสามน้ำ” จาก “บางกล่ำ” นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นในด้านความคิดสร้างสรรค์ ด้วยการใช้แนวคิดภูมิปัญญาที่มีอยู่ โดยใช้วัสดุธรรมชาติในชุมชน แล้วเพิ่มด้วยการเติมเสน่ห์ให้สินค้า ตลอดจนมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นจนทำให้เกิดความโดดเด่นและแตกต่างไปจากผู้ประกอบการรายอื่น
หากใครสนใจเซรามิกจากดินสามน้ำแห่งชุมชนบางกล่ำ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.0-7432-8308 โดยชาญชัยบอกว่ายินดีบริการจัดส่งทั่วประเทศ และยินดีให้คำปรึกษารวมทั้งถ่ายทอดความรู้ให้ฟรีอีกด้วย
ขั้นตอนการผลิตเครื่องปั้นดินเผา
เริ่มจากนำดินเหนียวมากองไว้เตรียมใช้งานเรียกว่า กองดิน จากนั้นซอยดินเหนียว แล้วนำไปพรมน้ำหมักค้างคืน โดยใช้ใบตองแห้งคลุมให้ดินชุ่มน้ำพอเหมาะ แล้วปั้นดินที่หมักเป็นก้อนๆ ยาวประมาณ 1 ศอกนำไปวางไว้ในลานวงกลมแล้วใช้ควายย่ำให้ทั่ว เรียกว่า นวดดิน ปัจจุบันพัฒนามาเป็นการใช้เครื่องนวดแทนควาย เสร็จแล้วนำดินที่นวดแล้วมาตั้งเป็นกองใหญ่ แล้วเหยียบให้เป็นกองแบนลง ถ้าพบเศษวัสดุอะไรในดินก็หยิบออกมาแล้วนำผ้ามาคลุมดินไว้เพื่อรอการนำดินมาใช้ในการปั้นต่อไป
หลังจากนั้นก็ให้นำดินมาปั้นเป็นแท่งกลมยาวเพื่อขึ้นรูป โดยขึ้นรูปบนแป้นหมุน เรียกว่า ก่อพิมพ์ เป็นการปั้นครึ่งล่างของภาชนะที่ปั้น แล้วนำครึ่งล่างที่ปั้นเสร็จแล้วไปผึ่งให้หมาดๆ แล้วนำมาปั้นต่อให้เสร็จตามรูปแบบที่ต้องการ ก่อนนำมาผึ่งให้หมาดๆ แล้วนำไปขัดผิวให้เรียบโดยใช้ลูกสะบ้าขัด ทำให้ผิวเรียบและมันแล้วนำไปตากให้แห้ง จากนั้นนำภาชนะที่ปั้นเรียนร้อยแล้วและแห้งดีแล้วไปเข้าเตาเผา ซึ่งเป็นเตาก่อด้วยอิฐ
ในการเผาจะใช้เวลาประมาณ 2 คืน 3 วัน และต้องคอยใช้ฟืนในเตาเผาตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ได้ความร้อนสม่ำเสมอและทำให้ดินสุกได้ทั่วถึง เมื่อเผาได้ตามที่กำหนดเวลาต้องงดใส่ไฟ แล้วปล่อยทิ้งไว้ในเตาเผา 2 คืน โดยค่อยๆ เปิดช่องว่างเพื่อค่อยๆ ระบายความร้อนเรียกว่า แย้มเตา แล้วนำภาชนะที่เผาเรียบร้อยแล้วออกจากเตาคัดเลือกชิ้นที่มีสภาพดีนำไปจำหน่ายต่อไป
ไสุพิชฌาย์ รัตนะ"