
คิดถึง จิตต์ จงมั่นคง ช่างห้องมืด - คนหลังเลนส์
คนที่คิดว่าตนเองสำคัญ หรือวางตนเป็นคนสำคัญ มักไม่สำคัญ... ผมหวนคิดถึงความจริงข้อนี้ เมื่อเห็นข่าวพาดหัว "คม ชัด ลึก" ฉบับ 8 เมษายน 2552 ที่ว่า ปิดฉากช่างภาพเอกอุล้างฟิล์มถวายในหลวง จิตต์ จงมั่นคง ศิลปินแห่งชาติปี 38 เอกอุด้านภาพถ่ายศิลปะ เสียชีวิตแล้ว
ผมมิได้เป็นลูกศิษย์ลูกหาที่ได้ร่ำเรียนวิชาถ่ายภาพกับท่านโดยตรง แต่ผลงานภาพของท่านไม่เพียงแต่เป็น “แบบเรียน” ที่ดี หากยังเป็น “ประกายไฟ” จุดแรงบันดาลใจใครต่อใคร รวม ทั้งผมให้พวยพุ่ง ยิ่งได้มีโอกาสศึกษาชีวิตและงานของท่านจากปากคำของท่านโดยตรง กับได้พบปะท่านตามงานไม่กี่ครั้ง ผมก็ตระหนักว่าท่านเป็นผู้ใหญ่และเป็น “ศิลปินแห่งชาติ” ที่ประนมมือขึ้นไหว้ หรือค้อมศีรษะคารวะได้อย่างหมดใจ จนผมเคยสรุปเส้นทางชีวิตของท่านไว้ว่า...
ไม่เคยร่ำเรียนวิชาการถ่ายภาพจากสำนักศึกษาใด แต่คว้ารางวัลขั้นสูงสุดจากการประกวดภาพถ่ายทั้งระดับชาติและสากลนับไม่ถ้วนรางวัล ไม่เคยเรียนเทคนิคการอัด-ขยายภาพจากสถาบันใด แต่เป็น “ช่างห้องมืด” มือเยี่ยมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัย เรียนหนังสืออย่างเป็นทางการแค่ชั้นมัธยม แต่แสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือและนิตยสารต่างประเทศ ชอบดูหนังเพื่อศึกษามุมกล้อง ขนาดวันเดียวตีตั๋วดู 6 เรื่องรวด รักการถ่ายภาพขนาดวิ่งหลบระเบิดยังคว้ากล้องติดมือไปด้วย จนเฉียดฉิวจะได้นอนห้องขังด้วยข้อหาต้องสงสัยเป็น “จารชน” วัยเด็กทำงานหนักโดยต้องหาบน้ำหลังเลิกเรียนทุกวัน แต่จบชั้นมัธยมสี่โดย “พาสส์ชั้น” 4 ครั้งรวด วันว่างวัยหนุ่มหิ้วกล้องขึ้นรถเมล์ค่าตั๋ว 2 สตางค์ไปหามุมกล้องใหม่ๆ ตามชานเมือง ตั้งแต่คลองเตยยังเป็นทุ่งเลี้ยงควาย ถนนสาทรยังร่มครึ้มด้วยแมกไม้ เริ่มต้นจากเด็กล้างฟิล์มในห้องมืดร้านถ่ายรูป ก้าวไกลสู่ตำแหน่ง นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ก่อนได้รับการยกย่องเป็น “ศิลปินแห่งชาติ” สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี 2538
ผลงานภาพชิ้นเอกหลายๆ ภาพของท่าน อาทิ ภาพ “เมื่อพายุโหม” ที่ได้รางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือภาพ “บัลเลต์กระดาษ” ที่คว้ารางวัลที่ 1 จากบริษัทกรรณสูต สะท้อนความสามารถขั้นสูงในการจัดแสง วางองค์ประกอบภาพ และการทำงานในห้องมืดอย่างชำนาญเยี่ยงมืออาชีพ ผสานกับจินตนาการของศิลปินที่มีอยู่ในตัวท่าน เช่น ฉากหลังของคนถ่อเรือในภาพ “เมื่อพายุโหม” ของเดิมที่ท่านถ่ายมาเป็นบ้านเรือนริมคลองบางแคอันระเกะระกะ ท่านจึงเอาภาพเมฆที่ถ่ายจากที่อื่นมาซ้อนเป็นฉากหลังแทน ทำให้น้ำหนักของเมฆและคนได้อารมณ์น่าตื่นตาตื่นใจ และได้บรรยากาศของการทำงานใช้แรงงานอย่างแข็งขัน บึกบึน ชนิดเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ของคนงาน ในจังหวะที่แสงไล้ลงลำแขนและแผ่นหลัง ซึ่งเทคนิคการซ้อนภาพ กับการเพิ่มหรือลดแสงเฉพาะจุด ในปัจจุบันทำได้ง่ายเพียงแค่นิ้วคลิก แล้วโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ก็จะบันดาลภาพที่ต้องการให้เบ็ดเสร็จ แต่ต้องไม่ลืมว่าอาจารย์จิตต์ทำเทคนิคนี้กับมือตั้งแต่ 50-60 ปีก่อนแล้ว
“...เวลาอยู่ในห้องมืด ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นกระดาษเปล่าใบหนึ่ง เมื่อนำมาผ่านน้ำยาแล้วกลับกลายเป็นภาพที่มีความสวยงามขึ้นมาได้ ยิ่งเมื่อเราอ่านเทคนิคของฝรั่งจากหนังสือ แล้วนำมาทดลองทำเองบ้าง เราก็ยิ่งสนุกกับงาน...”
ผมยังจำน้ำเสียงเปี่ยมปีติของท่านได้ เช่นเดียวกับตอนที่เล่าเหตุการณ์ฝ่ายสัมพันธมิตรมาทิ้งระเบิดกรุงเทพฯ เพราะรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง อาจารย์จิตต์วิ่งหนีระเบิดมุ่งหน้าไปทางวงเวียนใหญ่ แต่สัญชาตญาณช่างภาพทำให้ท่านคว้ากล้องติดมือไปด้วย เจออะไรน่าสนใจก็บันทึกภาพไว้ กระทั่งถูกตำรวจล็อกตัว เพราะสงสัยว่าเป็นจารชนที่ทำงานลับให้ฝ่ายสัมพันธมิตร จะอธิบายอย่างไรตำรวจก็ไม่ฟัง แถมบังคับให้ล้างฟิล์มออกมาดู ซึ่งแน่นอนว่าถ้าภาพวงเวียนใหญ่โดนบอมบ์ปรากฏออกมา ย่อมเป็นหลักฐานมัดตัวท่านแน่นหนา ทว่า...
“...โชคดีที่วันนั้นผมใช้ฟิล์ม Panchomatic หรือที่เรียกว่าฟิล์มเขียว ซึ่งต้องล้างในห้องมืด โดนแสงไม่ได้ แต่ร้านถ่ายรูปใกล้โรงพักร้านนั้นใช้แสงสีแดง พอล้างออกมาภาพมัวหมด ผมเลยรอดตัวไป...” หมายความว่าถ้าวันนั้นใช้ฟิล์มแดง ก็อาจไม่มีศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ปี 2538 ชื่อจิตต์ จงมั่นคง ให้อนุชนรุ่นหลังจดจำเป็นตำนานมาตราบจนวันนี้ ตำนานของช่างห้องมืด คนหลังเลนส์ ผู้ทุ่มเททำงานด้วยหัวใจ เฉกเช่นที่อาจารย์อวบ สาณะเสน จิตรกรลือนามกล่าวไว้ว่า “…คุณจิตต์ทำงานอย่างจริงใจและจริงจัง ให้หัวใจลงไปอยู่กับงานด้วยอย่างบริสุทธิ์...”
7 เมษายน 2552 อาจารย์จิตต์ จงมั่นคง ในวัย 87 เดินทางสู่สัมปรายภพ เพื่อการพักผ่อนอันเป็นนิรันดร ด้วยโรคหัวใจและปอดติดเชื้อ ทิ้งผลงานและคุณความดีไว้เป็นอนุสาวรีย์อันสง่างามให้คนที่ยังอยู่ได้ระลึกถึง ในฐานะผู้วางตน “ไม่สำคัญ” แต่มีรางวัลเกียรตินิยมสูงสุด จากสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ปี 2511 และจากสหพันธ์ศิลปะการถ่ายภาพนานาชาติ ปี 2530 กับ 37 ปีในภารกิจล้างฟิล์มถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...เป็นบทพิสูจน์
** กลุ่มสห+ภาพ (Foto United) ชุมชนคนถ่ายภาพ ขอเชิญชมนิทรรศการภาพสัญจร ชุด “โพท้อง (รถสองแถว) ท่องภูเก็ต” (One Day in My Beloved PHUKET) ณ พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว อำเภอเมือง ภูเก็ต จนถึง 29 เมษายน 2552 (ไม่เสียค่าเข้าชม) รายละเอียดโทร 08-1894-5060
เรื่อง - ภาพ... "ธีรภาพ โลหิตกุล"