
ไซ่ง่อน ยังซ่อนความงาม "กาญจนา หงษ์ทอง"
โฮจิมินห์สวยที่สุดตอนถูกอาบด้วยแสงนีออน!!!
เพราะเชื่อขี้ปากชาวบ้าน พอลับตาเจ้าแห่งวัน แทนที่จะผลุบเข้าไปหมกตัวอยู่ในเรือนพัก ฉันจึงเคลื่อนกายออกมาเดินเพ่นพ่านอยู่ใจกลางนครแห่งความอลหม่าน
13 ปีผ่านไป ดูเหมือนประชากรมอเตอร์ไซค์ยังคงล้นถนนเมื่อคะเนด้วยตาเปล่า ราวกับว่า มอเตอร์ไซค์ที่เคยเจอกันเมื่อ 13 ปีก่อนได้คลอดลูกหลานออกมาอีกหลายเจนเนอเรชั่น
“รัฐบาลของเรากำลังเร่งสร้างรถไฟฟ้า ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ...” แฮนซั่น หนุ่มเวียดนามผู้ยังไม่ประสงค์จะแสดงจุดยืนทางเพศกับคนแปลกหน้า ตวัดหางเสียงสุดแมนบอกกับฉัน แต่ลืมไปว่าตอนชี้ให้ดูโครงการก่อสร้าง กรีดนิ้วซะจนไม่เหลืออะไรให้เดา
เป็นปรากฏการณ์ที่แค่จินตนาการก็ชิงสนุกซะแล้ว ฉันอยากมาเห็นวันที่โฮจิมินห์มีรถไฟฟ้าวิ่ง อยากเห็นชาติที่ผูกพันกับมอเตอร์ไซค์เท่ากับญาติสนิท ถ้าจู่ๆ วันหนึ่งมีรถไฟฟ้าเข้ามาเป็นสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต แล้ววิถีชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างไร
เพราะสำหรับคนเวียดนาม มอเตอร์ไซค์ไม่ได้มีค่าเป็นแค่พาหนะที่ใช้สัญจรไปมา หากแต่มอเตอร์ไซค์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เปรียบเสมือนเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของชาวเวียดนามเลยก็ว่าได้ แต่ พ.ศ. นี้มีชิ้นที่ 34 งอกมาอีกอย่าง คือหมวกกันน็อก
กฎเป็นกฎ เวียดนามออกกฎหมายให้คนใส่หมวกกันน็อก ต้องใส่ทั้งคนขี่และคนซ้อน สองล้อจะไม่ยอมหมุน ถ้าบนหัวปราศจากสิ่งไม่มีชีวิตที่เรียกว่าหมวกกันน็อก จะไม่มีการยกเว้นเพราะแค่ขี่ในซอย หรือเพราะย่านนั้นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อะลุ้มอะล่วย เหมือนบ้านเรา เพราะค่าปรับแพงขนาดกินเฝอได้หลายชาม
ช่วงที่เวียดนามประกาศกฎคุมเข้มเรื่องหมวกกันน็อก มีร้านขายหมวกกันน็อกอยู่ทุกเสาไฟฟ้า เรียกว่าในช่วงระยะ 100 เมตร เผลอๆ จะมีกันนับสิบร้าน ไม่ว่าอดีตจะเป็นร้านโชห่วย ร้านถ่ายรูป ร้านขายวัสดุก่อสร้าง ไปยันร้านขายเฝอ ก็ต้องมีหมวกกันน็อกเป็นสินค้าน้องใหม่ประดับร้านกันทั้งสิ้น ร้านรวงที่ไม่เคยขายอะไรเกี่ยวกับหมวกกันน็อก ก็พยายามสรรหาโปรโมชั่นมาดึงดูด เป็นต้นว่าซื้อเครื่องเสียงแถมหมวกกันน็อก อะไรแบบนั้น
ผูกพันกันเหมือนคนในครอบครัวขนาดนี้ จะเป็นไปได้มั้ยว่า เมื่อวันที่รถไฟฟ้าแล่นโฉบมาใกล้บ้าน พวกเขาจะสลัดสองล้อคู่ใจทิ้งแล้วหันมาก้าวขึ้นรถไฟฟ้ารึเปล่า
สำหรับเมืองที่มอเตอร์ไซค์ดีที่สุดในโลก และมีประชากรมอเตอร์ไซค์เยอะที่สุดในโลกไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคัน และอีก 10 ปีข้างหน้าที่ประชากรของเวียดนามคาดว่าจะทะลุ 100 ล้านคน ตัวเลขประชากรมอเตอร์ไซค์ถูกคะเนว่าอาจจะขึ้นมาเป็น 50 ล้านคัน จึงเป็นเรื่องที่น่าตีตั๋วเรือบินมาดูมั้ยล่ะ
บางทียอดขายมอเตอร์ไซค์อาจจะตก หรือบางทีจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าอาจจะต่ำกว่าเป้า ล้วนเป็นเรื่องของอนาคตที่รอการวัดใจชาวโฮจิมินห์
แต่มืดค่ำที่มีแค่แสงนีออนสาดส่องผิวถนน ฉันกำลังเก้ๆ กังๆ อยู่ที่แยกวัดใจ ยืนวัดใจตัวเองและวัดใจบรรดาชาวเวียดนามที่ประคองร่างอยู่บนสองล้อ ว่าใครจะถอย ใครจะพุ่ง
การข้ามถนนในโฮจิมินห์ จึงถือเป็นการผจญภัยอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้เลือดลมของคุณสูบฉีดและพุ่งพล่านไม่ต่างจากการเล่นรถไฟเหาะตีลังกา ยามที่ต้องผลักตัวเองเข้าไปขวางมอเตอร์ไซค์ ทีละคัน ทีละคัน แล้วหยุดรอจังหวะ เพื่อพุ่งเข้าขวางคันถัดไป
“ผมเฉยๆ นะ แต่คนที่มาเที่ยวมักจะบอกว่า นี่แหละเสน่ห์ของเวียดนาม....” แฮนซั่นจีบปากบอกอย่างเผลอตัว
เป็นการเข้าถึงเสน่ห์ ที่ควรทำประกันชีวิตไว้ให้เรียบร้อยก่อน เพราะมอเตอร์ไซค์บนท้องถนนไม่ได้มีแค่คันสองคัน แต่ซิ่งกันมาเป็นแพ เหมือนผึ้งฝูงใหญ่ที่บินฮือมาพร้อมๆ กัน
ข้ามจากแยกวัดใจไปหาลุงโฮที่นั่งรออยู่ที่เดิมทุกเมื่อเชื่อวัน ศาลากลางประจำเมืองแทบไม่ต้องว่าจ้างหน่วยรักษาความปลอดภัย เพราะลุงโฮนั่งสิงสถิตอยู่ด้านหน้า คอยมอนิเตอร์ทุกความเคลื่อนไหวที่ผ่านไปมา ลุงโฮเป็นนายแบบที่นั่งโพสท่าเดิมอย่างไม่เคยปริปากบ่น แม้ทุกคนที่เหยียบย่างสู่โฮจิมินห์จะจับลุงโฮเข้าเฟรมแล้วลั่นชัตเตอร์ใส่มานับครั้งไม่ถ้วน
ราตรีที่แม่น้ำไซ่ง่อนถูกโรยไว้ด้วยแสงระยิบบนริ้วน้ำ แม้แต่โบสถ์นอร์ทเทรอดามอันสง่างามตามแบบฝรั่งเศสที่ว่าเจ้าเสน่ห์นักหนา ก็ไม่อาจเหนี่ยวฉันให้ไปยืนที่นั่นได้ เพราะอยากล่องเรือไปตามลำน้ำ ดื่มกินบรรยากาศอันแสนโรแมนซ์ที่โฮจิมินห์ยัดเยียดให้
อาหารถูกปาก บรรยากาศถูกใจ ปรุงแต่งให้คนที่ลงมาล่องเรือเป็นคู่ดูหน้าอิ่มเอมกว่าคนมาเป็นหมู่คณะ
เมื่อท้องไส้บรรจุอาหารเวียดนามไว้จนแทบไม่มีที่ว่าง ไม่มีอะไรดีกว่าการไปเดินย่อยอาหารที่ไนท์ มาร์เก็ต แถวตลาดเบนทันห์ ฉันจึงให้แฮนซั่นพาไปปล่อยไว้แถวนั้น
ตลาดเบนทันห์อาจมโหฬารเท่าจตุจักร แต่ก็มีอานุภาพพอจะทำให้คนเดินเมื่อยน่องได้ไม่น้อย ที่นี่มีทุกสิ่งให้เลือกสรรตั้งแต่ผัก ผลไม้ ดอกไม้สด หมวกเวียดนาม ชุดอ๋าวหย่าย ไปจนถึงผ้าแพรชิ้นงาม หัตถกรรมพื้นบ้าน ของแต่งบ้านแบบร่วมสมัยไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า
สำหรับคนที่ท้องไส้ยังว่างโหวง ไนท์ มาร์เก็ตคงช่วยทำให้เหลือพื้นที่น้อยลง เพราะอุดมไปด้วยอาหารการกินสารพัดชนิด สมกับเป็นตลาดโต้รุ่ง ข้างๆ เป็นแผงขายเสื้อผ้า รองเท้า ที่ใครอิ่มแล้วอยากระบายสภาพคล่อง ก็มีที่ทางไว้ให้จับจ่าย
ในวันรุ่งขึ้น แฮนซั่นหอบฉันไปดูโฮจิมินห์อีกมุมหนึ่ง มุมที่คนเวียดนามรุ่นนี้มีไว้อวดภูมิปัญญาและความปราดเปรื่องของคนรุ่นเก่า ที่นั่นคืออุโมงค์ขูจี ผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซของชาวเวียดกงที่คิดค้นขุดขึ้นเพื่อใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ในสงครามอเมริกัน
กับดักสารพัดรูปแบบฉายภาพให้เห็นถึงความฉลาดหลักแหลมของชาวเวียดนามในสมัยก่อน อุโมงค์พรางตัวที่ขุดไว้ขนาดพอดีตัว ช่องสี่เหลี่ยมเล็กเท่าฝากระดานที่เป็นทางเข้า ตอกย้ำให้เห็นว่า ประชากรชาวเวียดนามหุ่นผอมเพรียวมาแต่ไหนแต่ไร กว่า 8 หมื่นชีวิตที่กินนอนอยู่ในอุโมงค์แห่งขูจีล้วนแต่เป็นผู้ที่ไม่อนุญาตให้ไขมันอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงผลุบเข้าออกในหลุมหลบภัยนี้ไม่ได้
ไม่ว่ายามนั้นใครจะรู้สึกอย่างไรกับชาวเวียดนาม แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อได้เห็นอุโมงค์ขูจี ก็จะจากไปด้วยความรู้สึกทึ่งในความหลักแหลมของชาวเวียดนาม
บางมุมของเมืองลุงโฮเปลี่ยนไป หลายอย่างยังเหนียวแน่นราวกับว่าโมงยามทำอะไรเมืองลุงโฮไม่ได้เลย ส่วนฉันสารภาพว่า ไม่ว่าใบหน้าของโฮจิมินห์จะถูกศัลยกรรมให้เปลี่ยนไปอย่างไร เมืองไซ่ง่อนก็ยังซ่อนความงามเหมือนเคย ที่มากกว่าเดิม คงเป็นอาการหลงรักเฝอ
ข้อมูล
เดินทางสู่โฮจิมินห์ด้วยสายการบินแอร์ฟรานซ์ บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปกลับโฮจิมินห์ทุกวัน คลิกดูรายละเอียดได้ที่ www.airfrance.co.th หรือโทร. 001-800-441-0771 หรือสอบถามรายละเอียดการเดินทางกับบริษัท โกลบอล ยูเนี่ยน เอ็กซ์เพรส โทร. 0-2308-2104 หรือ 0-2308-2106