ไลฟ์สไตล์

คนไทย"ดื้อยาปฏิรูปการศึกษา"แนะรวมพลังสู้ ไม่ท้อไม่ถอยไม่รอรัฐบาล

คนไทย"ดื้อยาปฏิรูปการศึกษา"แนะรวมพลังสู้ ไม่ท้อไม่ถอยไม่รอรัฐบาล

02 มี.ค. 2554

หากเอ่ยชื่อ"ดร.รุ่ง แก้วแดง" แล้ว เรามักคุ้นชินกับบทบาทของเขาในฐานะ นักคิด นักเขียน นักการศึกษามือฉมัง นักพัฒนา นักบริหารงาน สุดยอดนักบริหาร และโดดเด่นในฐานะนักปฏิรูปการศึกษาไทย และผู้ก่อตั้งมูลนิธิสุข แก้วแดง ที่มีภารกิจในการเยียวยา วางระบบการจัดการศึกษ

ด้วยความเป็นคนในพื้นที่จ.ยะลา ทำให้ "ดร.รุ่ง แก้วแดง" เป็นคนที่รู้ลึก รู้จริง และเข้าใจวิถีชีวิตพี่น้องชาวใต้ จึงรวมพลังคนดี จากทุกภาคส่วนของสังคมไทย มาร่วมมือ ร่วมใจกันทำงานด้านการศึกษา ผ่านกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม หลังวัยเกษียณ

จนถึงวันนี้ผลแห่งความมานะพยายามและทุ่มเทเพื่อเด็กและเยาวชนไทยในพื้นที่ภาคใต้ เริ่มผลิดอกออกผลงดงาม แม้ต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง เฉกเช่นเดียวกับงานการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ทุกภาคส่วนต้องรวมพลังกันต่อสู้ อย่างจริงจังและจริงใจ นี่คือภาพสะท้อนการปฏิรูปการศึกษาไทยในมุมมองของ "ดร.รุ่ง แก้วแดง" อดีตเลขาธิการสภาการศึกษาเกือบ8 ปี และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านรายการ "คิดต่าง สร้างปัญญา" ทางคลื่นเอฟเอ็ม 102 เวลา 20.00-21.00 น. เมื่อวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

"ปฏิรูปการศึกษารอบแรก คนไทยช็อก เพราะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หรือที่รู้จักมักคุ้นกันว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี พ.ศ. 2540  ทำให้สังคมไทยเกิดการตื่นตัวทุกภาคส่วน และเห็นร่วมกันว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เพราะความโง่เขลาเบาปัญญา จะต้องแก้ปัญหาด้วยการศึกษา เพราะการศึกษาจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถของคนไทยในทุกๆ ด้าน"

ดร.รุ่งเล่าว่าในครั้งนั้นช่วงแรกของการปฏิรูปการศึกษา มีนักการเมืองสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาเต็มที่ ทั้ง ดร.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายปัญจะ เกสรทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้น รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ให้การสนับสนุน ทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่หลับไม่ได้นอน เพื่อให้มีกฎหมายการศึกษาฉบับแรกของประเทศไทย มารองรับการปฏิรูปการศึกษาในรอบแรก นั่นคือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2542

"นอกเหนือจากฝ่ายการเมืองแล้ว การปฏิรูปการศึกษาในรอบแรกยังมีฝ่ายนักวิชาการมีกว่า 100 ชีวิต อาทิ ศ.ดร.สิปปนนท์  เกตุทัต, ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์, ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน, ดร.สุวัฒน์ เงินฉ่ำ, ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปการศึกษา ฯลฯ นักวิชาการแต่ละคนอยู่ระดับแถวหน้าของเมืองไทย ต่างทำงานด้วยใจรัก ด้วยความเสียสละทุ่มเท เพื่ออนาคตการศึกษาชาติ ต่างจากการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ที่แม้มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนเต็มที่ แต่ขาดนักวิชาการที่โดดเด่นมาเป็นมันสมอง" ดร.รุ่ง ตั้งข้อสังเกต 

อย่างไรก็ตามการปฏิรูปการศึกษาในรอบแรก ก็เจออุปสรรคต่างๆ นานา แต่เพราะความแข็งแกร่งของนักวิชาการด้านการศึกษา ข้าราชการระดับสูง ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และภาคประชาชน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง

"แต่น่าเสียดายการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการบ่อยๆ ทำให้ขาดความต่อเนื่อง ทั้งที่มีแผนดีมาก มีนโยบายดีมาก แต่ไม่มีคนทำงาน ขณะเดียวกันคนไทยเริ่มดื้อยาปฏิรูปการศึกษาแล้ว เกิดความชินชา รัฐมนตรีศึกษาฯ ชื่ออะไรยังจำไม่ได้ เมื่อเปลี่ยนรัฐมนตรีก็เปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนจุดเน้น แม้แต่รัฐมนตรีศึกษาที่มาจากพรรคการเมืองเดียวกันยังไม่สานต่องานปฏิรูปการศึกษาในด้านเดียวกัน ทำให้ขาดความต่อเนื่อง บางโครงการดีอยู่แล้วก็ยกเลิกไป จนทำให้ฝ่ายปฏิบัติมึนงง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่แน่ใจว่านโยบายที่สั่งลงมานั้นจะปฏิบัติได้กี่วันก็ต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีศึกษาแล้ว เวลานี้คนไทยทั่วทุกภูมิภาค จึงเกิดอาการดื้อยาปฏิรูปการศึกษาอย่างน่าเศร้าใจ"

 ดร.รุ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 มีจุดอ่อนที่ระบบการเมืองในบ้านเราไม่เคยนิ่ง มีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อเปรียบเทียบการปฏิรูปการศึกษาไทยกับประเทศเกาหลีที่เริ่มต้นปฏิรูปการศึกษามาพร้อมกับประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2540 จนถึงปัจจุบันคุณภาพการศึกษาของเกาหลีมีคุณภาพได้มาตรฐานโลกเพราะติดอันดับ 2-3 ของโลกไปแล้ว ขณะที่ประเทศไทยยังย่ำอยู่กับที่ หรือในบางด้านกลับตกต่ำลงเรื่อยๆ ดูจากผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทยทุก 3 ปีหลังของช่วงชั้นการศึกษาจะลดลงทุกปี ปีละ 2-3% เช่น ในระดับชั้นป.6, ม.3 และม.6

"หากเราศึกษาประเทศที่พัฒนาเจริญรุ่งเรืองได้อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง "ผู้นำด้านการศึกษา" อาทิ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือรัฐมนตรีที่มีบทบาทในการดูแลรับผิดชอบงานด้านการศึกษาของประเทศ จะอยู่ในตำแหน่ง 5-10 ปี ก็ไม่มีการเปลี่ยน แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะรุนแรง มีการสู้รบ จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง แต่ไม่กระทบการพัฒนาศักยภาพของพลเมืองในประเทศ เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีศึกษา ดูอย่างประเทศอาร์เมเนีย เป็นเพียงประเทศเล็กๆ ติดชายแดนประเทศมหาอำนาจอย่างรัสเซีย กลับมีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะขีดความสามารถของประชากรสูง อันเนื่องมาจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีศึกษามาเป็นเวลา 8 ปี" ดร.รุ่ง ชี้ความจำเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาควรทำงานต่อเนื่องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

เหนืออื่นใดดร.รุ่ง ฝากวิงวอนคนไทย 65 ล้านคน รวมพลังกันปฏิรูปการศึกษารอบ 2 ไม่ท้อ ไม่ถอย ไม่ต้องรอรัฐบาล เพราะรัฐบาลที่จะมาใหม่หลังการเลือกตั้งก็ไม่มีความแน่นอน ดังนั้นทุกภาคส่วนในสังคมไทย ควรรวมพลังกันทำงานเพื่อการศึกษา คนละไม้คนละมือ ใครเก่งด้านไหนก็มาช่วยกัน เหมือนที่มูลนิธิสุข แก้วแดง ได้ทำมาต่อเนื่อง เห็นผลแล้วชื่นใจ

"ด้วยคนในพื้นที่ภาคใต้ร้อยละ 60 ต่างมีความคิดว่าสถานการณ์ภาคใต้รอใครช่วยไม่ได้ เราต้องช่วยตัวเราเอง ด้วยการรวมพลังกันทำให้คุณภาพการศึกษาของเด็กภาคใต้ผ่านการประเมินคุณภาพมาตรฐาน ได้เกินกว่าครึ่งจากรอบแรกที่สอบตกเพราะต่ำกว่ามาตรฐานของ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ." ดร.รุ่งกล่าวในที่สุด


0 กมลทิพย์   ใบเงิน 0 รายงาน