
เรือนคุ้มภัยขวัญใจคนไทยชายแดน
สวัสดีครับแฟนๆ ชาว คนรักบ้าน เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่าง ไทย กับ เขมร ดังนั้น ในสัปดาห์นี้ ผมขอนำเสนอ บ้านไม่บาน อันเป็น ทั้งที่รักและที่พัก อีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจะเป็นอีกหนึ่ง
“ทางเลือกอันเป็นทางรอด” ของบรรดา “คนรักบ้าน” ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน ที่ประกอบไปด้วยบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกเด็กเล็กแดง รวมไปถึงพระสงฆ์องค์เจ้า ครู ทหาร ตำรวจ อส. ฯลฯ ซึ่งคนเหล่านี้ต่างประสบชะตากรรมจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนที่ติดกับ “กัมพุชประเทศ”
ถ้าหาก “ชาวคนรักบ้าน” ลองมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อันยาวนานที่มีอายุนับพันปีล่วงแล้ว “เขมร” กับ “ไทย” ไม่ใช่ประเทศอื่นไกลครับ ในบางอารมณ์จะนับเป็น “บ้านพี่เมืองน้อง” แม้แต่ภาษา “เขมร” บางคำก็ยังมีความคล้ายคลึงกับ “ไทย” เช่นคำว่า “เพลิง” ที่แปลว่า “ไฟ” จะว่ากันไปแล้วทั้งภาษา “ไทย” และ “เขมร” ก็เป็นภาษาที่มี “รากศัพท์” มาจากที่เดียวกันครับ
ในยุคที่อาณาจักร “ขอม” เรืองอำนาจก็เคยแผ่อิทธิพลเข้ามาสู่อาณาจักร “สยาม” โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง “ละโว้” (หรือ “ลพบุรี” ในปัจจุบัน) แล้วแตกแขนงออกไปไกลทางเหนือถึง “หริภุญชัย” (หรือ ลำพูน) ออกไปทางตะวันตกจรดแนวเขา “ตะนาวศรี” แถบ “กาญจนบุรี” ดังปรากฏเป็นหลักฐานให้เห็นที่ปราสาท “เมืองสิงห์” ต่อมาชาว “สยาม” ได้ประกาศ “เอกราช” ไม่ขึ้นกับ “ขอม” ในสมัย “สุโขทัย” ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ “สุโขทัย” ในสมัย “พระร่วงเจ้า” ก็คงจะจำคำว่า “ขอมดำดิน” กันได้
จะเห็นว่าความสัมพันธ์ของอาณาจักร “ขอม” กับอาณาจักร “สยาม” ก็มีอาการขึ้นๆ ลงๆ ครับ คราใดที่ “ไทย” อ่อนแอ “ไม่รู้รักสามัคคี” ขาด “เอกภาพ” ก็จะถูก “เขมร” ลอบเข้ามาแทงข้างหลังทุกครั้งเสมอ คงจำกันได้นะครับ สมัย “กรุงศรีอยุธยา” เป็นราชธานี ในรัชสมัย “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ครั้งที่ “ไทย” กำลังรบทัพจับศึกกับ “พม่า” ในช่วงเวลาคับขันนั้น “พระยาละแวก” ของ “เขมร” ได้ถือโอกาสลอบเข้ามารุกล้ำอาณาจักร “สยาม” เป็นผลให้เมื่อเสร็จศึกจาก “พม่า” แล้ว “สมเด็จพระนเรศวร” โปรดให้ “กรีธาทัพ” ไปกำราบ “เขมร” และโปรดให้สำเร็จโทษ “พระยาละแวก” พร้อมกับรับสั่งให้ เอาเลือดมาล้างพระบาท ก็เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่ได้มีการบันทึกกันมา
ดังนั้น จะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง “เขมร” กับ “ไทย” ออกอาการขลุกขลิกพลิกไปพลิกมาจนที่สุดแล้ว “เขมร” ได้ตกเป็น “ประเทศราช” ของ “ไทย” มายาวนานหลายร้อยปี จนถึงยุคล่า “อาณานิคม” จึงตกเป็น “เมืองขึ้น” ของ “ฝรั่งเศส” อีกทั้งยังเป็นผลให้ “ไทย” ต้องเสียดินแดน “เสียมราฐ” “พระตะบอง” และ “ศรีโสภณ” ยาวไปจนจรด “ประจันตคีรีเขต” ซึ่งอยู่อีกฝั่งของ “อ่าวไทย” ตรงข้ามกันพอดีกับ “ประจวบคีรีขันธ์” ที่ในปัจจุบันผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองนี้ก็ยังคงพูดภาษา “ไทย” และลึกๆ ก็อยากกลับมาอยู่ใน ราชอาณาจักรไทย ซึ่ง “ประจันตคีรีเขต” ที่ผมได้กล่าวอ้างถึงนี้ ก็คือ “เกาะกง” ในปัจจุบันที่อยู่ติดกับ “ตราด” ครับ
จากผมได้ติดตามข่าวคราวความขัดแย้งระหว่าง “ไทย” กับ “เขมร” มานาน จะว่ากันไปตามเนื้อผ้าแล้ว “ประเด็นความขัดแย้ง” ทั้งหลายทั้งปวงนั้นได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้มานานหลายสิบปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบน พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ในขณะที่ “เขมร” ยึดเอา “แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000” ส่วน “ไทย” ถือเอาแนวเขต “สันปันน้ำ” มาเป็นหลักในการเจรจา หากคุยกันคนละภาษาแบบนี้ ต่อให้ชาตินี้ไปจนชาติหน้ายังไงก็ไม่มีทางคุยกันรู้เรื่อง ครับ ทำให้ผมเชื่อว่าทั้ง “ไทย” และ “เขมร” คงไม่สามารถหาบทสรุปอันเป็นทางออกของปัญหาความขัดแย้งที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ในระยะเวลาอันสั้น และผมก็ยังเชื่ออีกว่า “การเผชิญหน้ากันทั้งทางการทูต” และ “การประลองกำลังกันทางทหาร” ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ดังนั้น ผมจึงถือว่าเป็น “หน้าที่ทางจริยธรรม” ของคณะสถาปนิกและวิศวกร “บ้านไม่บาน” ที่ต้องทำการเสนอแนวคิด “เรือนคุ้มภัย” ขวัญใจคน “ไทย” ชายแดน เพื่อให้นำไปต่อยอดทางความคิดกันครับ จากการที่ผมได้ไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งใน “ยุโรป” และได้มีโอกาสเห็น “ภาพสเก็ตช์” ที่สะท้อนแนวคิดที่น่าสนใจของอัจฉริยะระดับโลกอย่าง “ลีโอนาโด ดาวินชี” ที่ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบป้อมปราการและกำแพงเมืองในยุค “เรเนซองส์” ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปกว่า 500 ปี
“ภาพสเก็ตช์" อันทรงคุณค่านี้ผมได้ถูกนำมาต่อยอดโดยใช้เป็นพื้นฐานทางความคิดในการออกแบบ “เรือนคุ้มภัย” ขวัญใจคน “ไทย” ชายแดน ครับ และผมเชื่อว่า “บ้านไม่บาน” ในชุดดังกล่าวนี้ จะช่วยบรรเทาความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของ “ชาวคนรักบ้าน” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงสร้างอันมั่นคงแน่นหนาของ “เรือนคุ้มภัย” ที่ผมได้ออกแบบให้อาคารทั้งหลังถูกถักทอเรียงร้อยกันเป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้น (เป็นอย่างน้อย) อีกทั้งยังออกแบบให้มีผนังรวมทั้งหลังคาที่เป็น ค.ส.ล.ทำมุมเป็นแนวเอียงสอบไปในทิศทางต่าง ๆ จะทำให้สามารถลดแรงปะทะจากบรรดากระสุน ปืน ค. เอ็ม 79 อาร์พีจี หรือปืนไร้แรงสะท้อน ฯลฯ แต่ในสภาพความเป็นจริงจะบรรเทาความเสียหายได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการเสริมเหล็กและความหนาของคอนกรีตรวมทั้งกำลังอัดของคอนกรีตเป็นสำคัญครับ
สาระน่ารู้ของ “บ้านไม่บาน” ในชุด “เรือนคุ้มภัย” ขวัญใจคน “ไทย” ชายแดน ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากครับ เชื่อว่าแนวคิดของผมดังกล่าวก็น่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย แต่อย่างน้อย “ชาวคนรักบ้าน” ก็ไม่ต้องขุดหลุม ขุดคู ขุดรู เพื่อสร้างเป็น “บังเกอร์” อยู่กันแบบเฉพาะกิจตามมีตามเกิดอยู่กันดังเช่นในปัจจุบัน
สัปดาห์หน้า ผมจะมา ถก “เขมร” เพื่อให้ “ชาวคนรักบ้าน” ได้รู้เท่าทันสถานการณ์ รวมทั้งมาดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ “เรือนป้องภัย” หลังนี้ นอกจากนั้นแฟนๆ “ชาวคนรักบ้าน” ท่านใดประสงค์จะ “ร่วมด้วยช่วยกัน” เพื่อสร้าง “เรือนป้องภัย” ขวัญใจคน “ไทย” ชายแดน เพื่อมอบให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังประสบภัยสงครามอยู่ สามารถติดต่อได้ ที่เบอร์ 0-2245-1399 และ 0-2644-1478 หรือหากแฟนๆ ท่านใด หน่วยงานใดต้องการรายละเอียดแบบแปลนของ “เรือนป้องภัย” สามารถเขียนจดหมายติดต่อกันมาได้ที่ ผศ.ดร.ภัทรพล เวทยสุภรณ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่ประการใดครับ
สัปดาห์นี้คงมีสาระน่ารู้กันเพียงแค่นี้ แล้วพบกับสาระน่ารู้เกี่ยวกับ “อาคารบ้านเรือนที่ไม่บาน” กันได้ใหม่ในสัปดาห์หน้าครับ