
ปริศนาธรรม"เราจะไม่กลับมาเกิดอีก"
"ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีก ตลอดอนันตกาล..." ตัวอักษรสวยงามบนรูปภาพขนาดใหญ่ของ "หลวงตามหาบัว" หรือพระธรรมวิสุทธิมงคล พระเกจิสายวัดป่า เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ที่มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธาจำนวนมาก ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าวัดหน้า
ความหมายของคำนี้คืออะไร หลายคนโดยเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาอาจเข้าใจ แต่ก็ยังคงมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจข้อความว่า คำคำนี้ เป็นการแสดงธรรมที่จะนำไปสู่ความหมายใด
"อันนี้ก็ 9 ปี ไม่ใช่เล่นๆ นะ ออกปฏิบัติ 16 พรรษา นั่นละฟ้าดินถล่ม 16 พรรษา วันที่ 15 พฤษภา 2493 เราไม่ลืม นั่นละปีฟ้าดินถล่ม กิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ ใจนี้สว่างจ้าเลย นั่นเป็นเวลา 9 ปีปฏิบัติ คือจริงจังมาก ถ้าลงได้หมุนใส่อะไรแล้วต้องเอาให้จริง เอาให้ได้อย่างใจ นี่ก็จะเอานิพพานให้ได้อย่างใจ ฟาดเสีย 9 ปี ฟ้าดินถล่มในวันที่ 15 พฤษภา 2493 หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา 5 ทุ่มพอดี นั่นละฟ้าถล่ม คว่ำวัฏจักรได้ในคืนวันนั้น จิตนี้สว่างจ้าเลยเทียว..."
เป็นข้อความในการแสดงธรรมตอนหนึ่งที่หลวงตามหาบัวแสดงไว้เมื่อบ่ายวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2551 ซึ่งถูกบันทึกไว้ในหนังสือ "ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย" หน้า 70
นอกจากนี้ที่ปกหลังหนังสือเล่มเดียวกัน ยังได้ตีพิมพ์คำเทศน์ของหลวงตามหาบัว เมื่อวันที่ 30 มกราคม พุทธศักราช 2553 ว่า "ชาติสุดท้ายก็เรียกว่าไม่มาเกิดมาตายอีกแล้วแหละ ไม่มาเกิดมาตายอีก เรียกว่าชาติสุดท้าย ล้างป่าช้า เอาให้มันเห็นประจักษ์อย่างนั้นซิ เห็นประจักษ์ในหัวใจเจ้าของไม่ต้องถามใคร พระพุทธเจ้ากี่หมื่นกี่ล้านพระองค์พูดแล้วสาธุ อันเดียวกันถามกันหาอะไร คืออันเดียวกันเลยแล้วจะถามกันหาอะไร พอปั๊บเข้าไปมันเป็นอันเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ถามกัน ชาติสุดท้ายคือว่าไม่กลับมาเกิดมาตายอีก เรียกว่าชาติสุดท้าย "
ส่วนการตีความในความหมายของ "พระครูอรรถกิจ นันทคุณ" หรือพระอาจารย์นภดล นนทะโน เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พระลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว มองว่า คำคำนี้เป็นการแสดงธรรมสู่ภาวะจิตขององค์หลวงตามหาบัว ความเชื่อแต่ก่อนนี้เรามักจะกดเอาไว้ไม่ให้พูดถึงความสำเร็จมรรคผลนิพพาน เพราะในพระวินัยของสงฆ์ อาบัติปาราชิก ข้อ 4 ที่ว่า ห้ามภิกษุกล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ ในสิ่งที่ไม่มีจริงอยู่ในตน ถ้าหากมีจริงท่านไม่ได้ว่า แต่นี่คือเวลาท่านเทศน์ไป ท่านเทศน์แรงขึ้นตามภาวะจิตของท่าน ไม่ใช่เป็นการโฆษณาตัวเอง แต่ภาวะช่วงนั้นแปลว่า เราไม่เกิดอีกแล้ว เพราะว่าจิตธรรมดาที่ยังไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ กิเลสยังไม่หมด มันยังมีการเวียนว่ายตายเกิด ที่นับไม่ถ้วน
พระอาจารย์นภดลขยายความต่อว่า คำว่าไม่ต้องเกิดอีก จะหมายความว่าสูญไปไหม ซึ่งไม่ได้สูญ จิตยังอยู่ จิตเป็นอมตะ จิตไม่ตาย จิตไม่เป็นสูญ คำว่าสูญนั้น สูญเฉพาะกิเลส แต่จิตไม่สูญ ไม่ไปเกิดอีก อย่างคำว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีก ตลอดอนันตกาล ซึ่งแปลว่าเราไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว บางทีคนที่เป็นเจ้าของตำรา มาบอกว่าหลวงตาท่านอวดตัว ซึ่งความเป็นจริงไม่ผิด เพราะท่านพูดให้คนที่ฟังท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยก่อนมีแต่พระได้รับฟัง เพื่อให้เห็นว่าของจริง มีจริง เมื่อเป็นก็ต้องบอกว่าเป็น แต่ไม่ได้เป็นแบบอวดอ้าง อยู่ๆ ก็มาคุยโฆษณา ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นภาวะของการเทศน์ของท่าน ที่ผุดขึ้น ผุดขึ้น
"จิตที่หมดกิเลสแล้ว ไม่ต้องมีที่อยู่ ถ้าเราพูดในภาษาวิทยาศาสตร์ก็คือ จิตท่านเป็นพลังงานแล้ว ซึ่งพลังงานไม่ต้องมีที่อยู่ใช่ไหม ซึ่งความจริงเป็นสำนวนว่า ไปอยู่บนแดนจุฬามณี เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น จริงๆ ไม่ต้องมีที่อยู่ เช่นในอวกาศไม่ต้องมีที่อยู่ แต่เป็นเวิ้งกว้างใหญ่ ที่ไม่มีที่อยู่ แต่พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ยังมีอยู่ เช่นบางครั้งเราฝันเห็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกันพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หรือครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่เราฝันถึงท่าน ท่านมาปรากฏแก่เรา อันนี้เป็นเรื่องจริง ที่เราไม่ได้เพ้อไปเอง แต่จิตเรามาสัมผัสกัน คือจิตของผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ตายจิตหนึ่ง จิตครูบาอาจารย์จิตหนึ่ง มาสัมผัสกันได้ แต่ว่าจริงก็มี เพ้อก็มี ไม่ใช่ว่าจะจริงหมดทุกราย" พระอาจารย์นภดลระบุ
เศกสันติ กัลยาณวิสุทธิ์