ไลฟ์สไตล์

จุ่มน้ำหมึก20ปี มิตรภาพมั่นยืนโขงสองฝั่ง นักเขียนไทย-ลาว(1)

จุ่มน้ำหมึก20ปี มิตรภาพมั่นยืนโขงสองฝั่ง นักเขียนไทย-ลาว(1)

17 ม.ค. 2554

ในพาข้าวลาวไทยจึงไม่ต่าง ยี่สิบปีภาพสีจางเกินขวางกั้น ยังสดใหม่ใสแจ้งยังแบ่งปัน สายสัมพันธ์วรรณศิลป์ไม่สิ้นรัก

บทกวีสำนวนของ โชคชัย บัณฑิต’ กวีซีไรต์ จากบทกวีนิพนธ์ชุด บ้านเก่า เขียนขึ้นสดๆ ที่ สวนไผ่พันกอ ริมน้ำงึม ส.ป.ป.ลาว ในงานโสเลเสวนา 20 ปี ญาติน้ำหมึก นักเขียนไทย ลาว พร้อมสำรับพาแลงที่เจ้าของบ้าน ดวงเดือน บุนยาวง นักเขียนซีไรต์ ส.ป.ป.ลาว ได้ฮับต้อนคณะนักเขียนไทยที่นำโดย ทองแถม นาถจำนง นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย คนล่าสุด ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของการสัมมนาวิชาการ “ร่องรอยกาลเวลา : ร่วมรู้พื้นถิ่นสุวรรณภูมิ 450  ปี เวียงจันทน์ สายสัมพันธ์บ่กั้นขวาง ไทย สยาม ลาว วรรณกรรมสองฝั่งโขง”

 ซึ่งที่มีขึ้นระหว่าง วันที่ 8-9 มกราคม ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัขขอนแก่น วิทยาเขตนหองคาย เป็นความร่วมมือกันระหว่าง สโมสรมิตรภาพวัฒนธรรมสากล สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์ข้อมูลลาว สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น, สโมสรนักเขียนภาคอีสาน, สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 1, สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 21 และ WWF ประเทศไทย

 ในแรกของการสัมมนาพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดสัมมนาพร้อมกับแสดงปาฐกถนำ ซึ่งงานี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานในกระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุนกิจกรรมหลักคือ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม  โดยมีองค์กรภาคเอกชนร่วมสนับสนุนด้วย เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น

 นอกจากนี้ ในพิธีปิดการสัมมนาในวันที่ 9 มกราคม ที่วิทยาเขตหนองคายนั้น ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นองค์บรรยายปัจฉิมถกา

 นอกจากนี้ยังแบ่งห้องย่อยสัมมนาทั้งสองวันคับคั่งไปด้วยวิทยากรระดับหัวกะทิของวงการวรรณกรรม ทั้งฝั่งไทยนำโดย  ผศ.ชลิต ชัยควรชิต, ทองแถม นาถจำนง, ยุทธ โตอดิเทพย์, สุมาลี โพธิพยัฆค์, ปราโมทย์ ในจิต, สมคิด สิงสง, อภินันท์ บัวหภักดี, ดร.สุเทพ บุญเติม, จรูญพร ปรปักษ์ประลัย, พินิจ นิลรัตน์แวว พลังวรรณ, ผศ.ทรงวิทย์ พิมพกรรณ รวมทั้ง ธนาคม พจนาพิทักษ์ ที่ไปเยี่ยมยามการสัมมนาและเดินทางไป ส.ป.ป.ลาว ด้วย

 ขณะที่ เด่นชัย ไตรยะถา ผู้พกพานิทานตำนานแม่น้ำโขงมาเล่า คราวนี้มาพร้อมผลงานเล่มใหม่ หยิบเรื่องดีมาเล่าเว้าเรื่องฮาให้ฟัง ใครจะได้ติดต่อโดยตรงที่เบอร์ 08-1546-1709

 ในส่วนห้องที่คึกคักเป็นพิเศษในห้อง เพลง ดนตรี กวี สองฝั่งโขง ดำเนินรายการโดย อานันท์ นาคคง หรือ หน่อง วงกอไผ่ แม้ว่าจะขาด ครูสุรินทร์ ภาคศิริ ที่ติดภารกิจ แต่กวีซีไรต์ โชคชัย บัณฑิต’ ดีดกีตาร์ว่ากวีให้ฟังพร้อม วีระ สุดสังข์ ผู้แต่งเพลง เสียงแคนจากแม่ชั่น มาพร้อมกับเพลงใหม่ล่าสุดที่พูดถึงวัฒนธรรมผู้คนชาติพันธ์สองฝั่งโขงโดยมี เวิ่น สเลเต ร่วมแจมอย่างม่วนซื่นโห่แซว

 ทางฝั่ง ส.ป.ป.ลาว นำโดยสองซีไรต์ ดวงเดือน บุนยาวง และ โอทอง คำอินซู พร้อมด้วย นักวรรณคดี นักแต่งเพลง บุนทะนอง ชมไชผน และ ดร.สุเนด โพทิสาน กรุความรู้ประวัติศาสตร์ลาวในหลากมิติ

แม้ว่าตลอดการสัมมนาทั้งสองวันที่ติดขัดงานซ้อนกันหลายงานไม่ว่าจะเป็นกีฬาสี วันเด็ก เป็นเหตุให้คนดูบางตาไปอย่างถนัด แต่ผู้ฟังยังเหนี่ยวแน่นตลอดสองวันของการสัมมนา

 สำหรับหนังสือประกอบการสัมมนา “ร่องรอยกาลเวลา : ร่วมรู้พื้นถิ่นสุวรรณภูมิ 450 ปี เวียงจันทน์ สายสัมพันธ์บ่กั้นขวาง ไทย สยาม ลาว วรรณกรรมสองฝั่งโขง”  ภาพปกสีน้ำฝีมือของ พิบูลศักดิ์ ละครพล สำหรับผู้สนใจสามารถสมทบรายได้เข้าสมาคมนักกลอนฯ ได้เล่มละ 200 บาท รวมทั้ง ร่องรอยกาลเวลา ณ จังหวัดพัทลุง เล่มละ 100 บาท และ จังหวัดนครปฐม เล่ม 200 บาท (ส่วนจังหวัดสุรินทร์,จังหวัดนครพนมและจังหวัดเลย หมดแล้วจ้า) โดยโอนเงินชื่อบัญชี สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย สาขาศาลายา เลขที่บัญชี 459-0-12812-8 พร้อมค่าจัดส่ง 30 บาทแล้วส่งหลักฐานมาที่ ตู้ปณ 33 ปณฝ.บางลำภูบน กรุงเทพฯ 10203  

 พอบ่ายคล้อยคณะนักเขียนจากฝั่งไทยออกเดินทางจากด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลไปขากวิทยาเขตฯ นัก สถานที่แห่งแรกที่คณะเราไปถึงคือ พระธาตุหลวง เพื่อเข้าไปนมัสการพระธาตุองค์สำคัญซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง สปป.ลาว หรืออีกชื่อคือพระเจดีย์โลกจุฬามณี ประเทศลาว ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

 เวียงจันทน์ ไม่ใช่ดินแดนใหม่และไม่ใช่เมืองใหม่ แต่มีร่องรอยคูน้ำกำแพงดินขนาดใหญ่ของเมืองเวียงจันทน์เดิมอยู่สองฝั่งแม่น้ำโขง คล้าย เมืองอกแตก มีพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมหลายพันปี พอๆ กับบริเวณ “แอ่งสกลนคร” ในเขต “อีสานเหนือ” ที่มี “วัฒนธรรมบ้านเชียง”

 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงทองหรือเมืองหลวงพระบางมาตั้งศูนย์กลางพระราชอาณาจักรบริเวณเมืองเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ. 2103 พระนครแห่งนี้จะมีอายุ 450 ปี ในปี พ.ศ. 2553 นี้ เวียงจันทน์ มีความสำคัญมากขึ้น เมื่อ ท้าวฟ้างุ้ม จากหลวงพระบางมาครอบครอง มีหลักฐานทั้งศิลาจารึก ตำนาน พงศาวดารว่า เป็นเครือญาติกับอาณาจักรขอมแห่งกัมพูชา กรุงศรีอยุธยา แคว้นสุโขทัย จนถึงดินแดนโยนก -ล้านนา ความยิ่งใหญ่ของเวียงจันทน์เป็นถึงระดับ มหานคร หนึ่งของภูมิภาคนี้ มีอยู่ในเอกสารชาวตะวันตกที่เดินทางจากปากแม่น้ำโขงผ่านกัมพูชาขึ้นไปเจริญทางพระราชไมตรีกับเจ้ามหาชีวิตเวียงจันทน์ เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 22 (ราว พ.ศ. 2183 หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก)

 (โปรดติดตามวันจันทร์หน้า)

เรื่อง : นายสะพาน ทางเชื่อม/
ภาพ : ศรีชลาลัย ณ ลำโขง