ไทยพร้อมสู่ศูนย์กลางอิสลามศึกษาโลกสร้างเยาวชนอิสลามยุคหลังโลกาภิวัตน์ | คมชัดลึก

และกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยมีสถาบันการศึกษาด้านอิสลามศึกษา ประมาณ 100 คน จาก 16 ประเทศที่มีการเรียนการสอนอิสลามศึกษา ได้แก่ ไทย กัมพูชา จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ แทนซาเนีย จอร์แดน โมร็อกโก ซูดาน อียิปต์ ปากีสถาน ตรุกี ตูนิเซีย ลิเบีย เข้าร่วม

 ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี หนึ่งในผู้ริเริ่มจัดประชุมอิสลามนานาชาติครั้งนี้ เล่าว่า ที่ผ่านมา คนที่จบอิสลามศึกษาในหลายประเทศไม่มีงานทำ เพราะเนื้อหาสาระของอิสลามศึกษาที่ศึกษาเล่าเรียน ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การเรียนการสอนอิสลามศึกษา เน้นการสอนทางศาสนา และวัฒนธรรม ขณะที่การสอนทางด้านวิชาช่าง วิชาชีพ วิชาทางการแพทย์ สิ่งแวดล้อม และชุมชน นั้นกลับหายไป ทำให้ตอนนี้ขาดแคลนวิชาชีพต่างๆ ทั้งที่ในประวัติศาสตร์อิสลามศึกษา เริ่มต้นจากอิสลามศึกษาวิชาชีพ และครอบคลุมทุกมิติ

 จากการเปลี่ยนแปลงของโลก 500-600 ปีที่ผ่านมา ทำให้วิชาชีพถูกแยกออกจากวิชาอิสลามศึกษา มิติวิชาชีพทางอิสลามศึกษาลดลง การประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่นักวิชาการทั่วโลกได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาการเรียนการสอน ศ.ดร.กนก ยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนในทุกเรื่อง โดยเริ่มแรก จะจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาอาจารย์ นักศึกษา เปิดโอกาสให้อาจารย์ไปศึกษาต่อต่างประเทศ แลกเปลี่ยนนักศึกษา ในอนาคต วิทยาลัยอิสลามศึกษา ปัตตานี ต้องเป็นศูนย์กลางการสอนภาษาอารบิกที่ได้มาตรฐานระดับโลก เป็นศูนย์กลางเรื่องภาษา วิจัย และจัดทดสอบภาษาอาหรับเช่นเดียวกับการสอบโทเฟล มีบทบาทเชิงวิชาการให้แก่การศึกษาในชายแดนภาคใต้

 อนาคต ปัตตานี ต้องติดในแผนที่อิสลามศึกษาของโลก และเป็นศูนย์กลางอิสลามศึกษาของโลก ซึ่ง รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุง อธิการบดี ม.อ. อธิบายชัดเจนว่า ม.อ.วิทยาเขตปัตตานี มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางอิสลามศึกษาของโลกมาตั้งแต่ปี 2545

 เพราะฉะนั้น การจัดประชุมวิชาการอิสลามศึกษานานาชาติครั้งนี้ เป็นการตอบย้ำถึงความพร้อมในการก้าวเป็นศูนย์กลางอิสลามศึกษา ที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ 2 ปีที่ ม.อ.ปัตตานี รวมถึงยังเป็นการสร้างความเข้าใจแก่ประชาคมมุสลิมในต่างประเทศ เกี่ยวกับการดูแล เอาใจใส่ และให้ความสำคัญของรัฐบาลที่มีต่อประชาชนชาวมุสลิมในประเทศไทย ที่ไม่ได้แตกต่างจากศาสนาอื่น

 “เหตุการณ์ในภาคใต้ ทำให้ประชาชนชาวมุสลิมต่างชาตินึกว่าไทยไม่ให้ความสำคัญ ปล่อยปละละเลยชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ จนทำให้เกิดปัญหา แต่เมื่อพวกเขาได้มาสัมผัส และการที่รัฐบาลไทยให้การสนับสนุน เล็งเห็นในการพัฒนาความเป็นอยู่ สร้างเยาวชนมุสลิมให้มีความรู้ ความสามารถ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้มุมมองความคิดของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าประเทศไทยเป็นประเทศของทุกคน ทุกศาสนา มีอิสระ เสรีภาพในทุกๆ เรื่องอย่างเท่าเทียมกัน”

 การประชุมครั้งนี้นำมาซึ่ง 3 มิติ ที่เกิดขึ้น ได้แก่ 1.มิติของโลก เป็นการร่วมกันพัฒนาศาสตร์อิสลามศึกษาทั่วโลก เพื่อให้ประชาคมมุสลิม เยาวชนสามารถปรับตัวเข้ากับการแข่งขันในยุคหลังโลกาภิวัตน์ มีแนวทางให้คนรุ่นใหม่ได้ก้าวเดินอย่างเสมอภาคพร้อมกันทั้งโลก 2.มิติประเทศไทย ทำให้เห็นบริบท สร้างความเชื่อมั่นสังคมไทยในสังคมโลก ในการทำนุบำรุงศาสนาอิสลามอย่างจริงจัง และสังคมโลกได้เข้ามาร่วมมือไทยแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนใต้ และ 3.มิติของ ม.อ. การที่ทุกประเทศร่วมผลักดันให้ปัตตานีมีจุดยืนในแผ่นที่โลกการศึกษาอิสลามศึกษา และการปรับการเรียนการสอน สร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ๆ ให้มีโอกาสแข่งขันในระดับนานาชาติได้

 “หลังจากนี้ทุกประเทศที่มีการเรียนการสอนอิสลามศึกษาต้องมีบริบท ส่งเสริม สร้างสันติสุข เสรีภาพ และพัฒนาเยาวชนอิสลามรุ่นใหม่ให้มีโอกาสชีวิตที่ดีในสังคมหลังยุคโลกภิวัตน์ รวมถึงจะเน้นความร่วมมือในการพัฒนาอิสลามศึกษา กำหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษาด้านวิชาการอิสลามศึกษาร่วมกัน เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ในระดับนานาชาติ เป็นการเปิดโอกาสนักศึกษาจากต่างประเทศมีโอกาสเข้ามาเรียนรู้และมีการแลกเปลี่ยนทางอิสลามศึกษา และคาดว่า หลังการสัมมนาครั้งนี้ จะได้แนวคิดโครงการและแนวคิดการจัดกิจกรรมที่เป็นระดับนานาชาติอีกมากกว่า 10 โครงการ” รศ.ดร.บุญสม กล่าวปิดท้าย

 เวทีแลกเปลี่ยนของนักการศึกษา นักปราชญ์ ผู้นำอิสลาม แม้เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ปฏิญญาปัตตานี ที่ประกาศร่วมกันทั้ง 16 ประเทศ ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อันดีในการพัฒนาพัฒนาการศึกษาด้านวิชาการอิสลามศึกษา ยกระดับคุณภาพของเยาวชนอิสลาม และการก้าวเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ในระดับนานาชาติ สนใจอยากเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.อ.ปัตตานี โทร.0-7331-3928-45 หรือ www.pn.psu.ac.th

 0 ชุลีพร อร่ามเนตร 0 รายงาน