ไลฟ์สไตล์

เล่นหูเล่นตา-เด็กเอ๋ยเด็กไทย

เล่นหูเล่นตา-เด็กเอ๋ยเด็กไทย

20 ธ.ค. 2553

วันนี้การนั่งหน้าทีวีในคอนโดของตัวเองตอนเย็นๆ ที่มีทั้งช่างหน้าและผมมารุมทึ้งสังขารของฉันอยู่ เป็นช่วงเวลาโปรดของฉัน เพราะไม่ต้องถ่อไปร้านทำผมอย่างเคย ซึ่งทั้งวุ่นวาย ยุ่งยาก มากมาย เมื่อมีลูกค้ามารอคิวกันเต็มร้าน ...

 ฉันกดรีโมทไปที่ช่องฟรีทีวี...ช่องปกติที่ไม่ต้องเสียค่าบริการรายเดือน...ช่องที่ฉันไม่ค่อยหมุนไปหานัก เพราะมักมีแต่ละครและรายการที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปของดาราที่ชาวบ้านชาวช่องทั่วไปอยากรู้อยากเห็นวนเวียนกับเรื่องรัก - เลิก - ลวง และแฉ จัดอยู่ในหมวดความบันเทิงอย่างแท้จริง แต่น่าสนใจอย่างที่สุด...

 เหมือนที่น้าเน็ก พูดไว้ในทอล์กโชว์ “ซะอย่างงั้น” ของเขา ประมาณว่า...ข่าวบันเทิงไม่ใช่ข่าวที่ชาวบ้านหรือใครๆ จำเป็นต้องรู้ แต่มันคือความบันเทิงในรูปแบบข่าว...

 ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน รายการเด่นๆ เรตติ้งสูงๆ จึงไม่อยู่ในช่วงเวลานี้ มีเพียงรายการแนวชาวบ้านๆ ละครที่เอามาฉายใหม่และรายการสำหรับเด็กและเยาวชน

 “เด็กไทยไปถึงไหนกันแล้ว” ฉันแอบตั้งคำถามในใจ

 กดรีโมทไปเรื่อยๆ แล้วมาหยุดที่หมอชิต มีดาราเป็นพิธีกรพาไปพบกับเรื่องราวของเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์และพึ่งพาตนเองซึ่งเป็นเด็กบ้านนอก...

 ในบ้านปูนหลังเล็กๆ เด็กผู้หญิงวัย 13-14 ปลูกผักเอาไว้ทำกินและเก็บไปขาย นอกจากนั้นยังรับจ้างทำงานฝีมือ เช่น จักสานชะลอม ซึ่งเธอเอากลับมาทำที่บ้าน พร้อมกับดูแลบ้าน ดูแลอาหารเย็นให้แม่ แม้จะต้องทำงานพร้อมกับเรียนไปด้วย แต่ผลการเรียนของเธอก็อยู่ในระดับเรียนดี ช่วงที่กล้องถ่ายสภาพความเป็นอยู่ของเธอ ฉันเห็นเพียงทีวีเก่าๆ เล็กๆ กับเตียงไม้เปล่าสำหรับนอนโดยปราศจากฟูก เธอบอกกับแม่ว่า...หนูสัญญาว่าหนูจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน...

 บางทีการอยู่ห่างจากความเจริญแต่อยู่ใกล้ความรัก (ของแม่) แบบเด็กบ้านนอกอาจจะดีกว่าการอยู่กับความเจริญโดยลำพังอย่างเด็กเมืองกรุงส่วนใหญ่ ที่ทิ้งความจริงและวิ่งหาสิ่งสมมุติเพียงเพื่อต้องการคำว่า “ทันสมัย”

 “เด็กไทยถูกตราหน้าว่าโง่” จากผลการสำรวจจากทั่วโลก ทั้งไอคิวต่ำและผลการเรียนห่วย ทั้งๆ ที่ไทยใช้จ่ายงบประมาณด้านการศึกษามากกว่าสิงคโปร์...” (จากคอลัมน์ คนหน้า 5 เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 13 ธ.ค.53)

 ในรายละเอียดของข่าวว่าด้วยเรื่องของระบบการศึกษาไทยที่มีแป๊ะเจี๊ยะ (เงินกินเปล่า) ซึ่งพ่อแม่จ่ายให้ทางโรงเรียนเพื่อลูกจะได้เข้าโรงเรียนดังๆ เมื่อเข้าไปแล้ว เด็กเรียนเก่งกับเรียนไม่เก่ง ก็ถูกแยกกัน แบ่งตามสติปัญญาทางการศึกษาของเด็ก มีตั้งแต่ ห้องคิง (เด็กเรียนเก่ง) ไปจนถึงห้องบ๊วย (เด็กเรียนห่วย) โรงเรียนก็จะเอาใจใส่ เคี่ยวเข็ญ เฉพาะเด็กเรียนดี เพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ เป็นเกียรติและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่โรงเรียน...

 ดังนั้น สองมาตรฐานนั้นเกิดขึ้นกับทุกวงการ!

 นอกจากการเรียนแล้ว เด็กไทยทุกวันนี้อยู่กับสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่ออินเทอร์เน็ต มีกลุ่มมีพวกมีแนวให้เอาเป็นแบบอย่างจะได้ไม่ตกเทรนด์ ทั้งเล่นเกม แชท ออนเอ็ม ดูหนัง ฟังเพลง ไม่มีขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีใครคอยเฝ้าจับตามอง...ภัยต่างๆ เข้ามาในห้องนอนของเด็กไทยผ่านทุกช่องทาง โดยที่บางทีพ่อแม่ก็ไม่รู้ เพราะมัวแต่ทำมาหากินเอาเงินมาซื้อสิ่งเหล่านั้นให้ลูกเพื่อชดเชยเวลาที่ไม่ได้อยู่ร่วมกัน

 เกมต่างๆ ที่เด็กไทยเล่นนั้น บางเกมป่าเถื่อน รุนแรง เน้นการเอาชนะและทำลายล้าง ซึ่งกระตุ้นเร้าด้านมืดของจิตใจ หรือก่อให้เกิดความคิดและมุมมองที่มนุษย์ปกติทั่วไปไม่ควรเป็น ที่เมืองนอกถึงขนาดมีการเลียนแบบเกม โดยการออกมากราดยิงคนที่เดินผ่านไปมาบนถนน และตำรวจเพื่อเก็บคะแนนในเกม...ภาพยนตร์บางเรื่องสร้างจากเกมติดเรต ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีดู แต่พอออกมาเป็นหนังแผ่น ใครจะคอยห้าม 

 การแชทเพื่อแสดงความคิดเห็นในบางกระทู้ ซึ่งผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่มักเป็นเด็ก ข้อความที่แสดงออกก็สะท้อนให้เห็นถึงความคิด วิสัยทัศน์ วิจารณญาณส่วนตัวของเด็กไทยที่เขียนไปตามใจ ไม่ตั้งอยู่บนเหตุผลใดๆ นอกจากทำตามกัน เอามัน และซ้ำเติม...

 เฮ้อ ทำไมไม่เอาเวลาไปอ่านหนังสือให้มันฉลาดกว่าที่เป็นอยู่ก็ไม่รู้...

 บางครั้งอาจมีความคิดเห็นของคนโตๆ แล้ว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ชอบซ้ำเติมมากกว่าเห็นใจ จนแอบสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเด็กไทยโง่ๆ สักคนโตขึ้นมา คงจะกลายมาเป็นผู้ใหญ่ไทยโง่ๆ แบบนี้...ซึ่งดูเหมือนไม่ได้โตเลย โดยเฉพาะสมอง! การขาดความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันของคนไทย ทุกวันนี้ มีคนพูดว่า...

 “คนไทยเหมือนไก่ในสุม จิกตีกันตลอดเวลา”

 ถ้าเด็กไทยโง่อย่างที่เขาว่าจริงๆ แล้วมีผู้ใหญ่ที่ชอบตีกันให้เห็นทุกปี เด็กไทยคงโตมาทั้งโง่ ทั้งไม่รักกัน...มันน่าเศร้ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อเด็กไทยคืออนาคตของชาติ ฉันยังคงเชื่อว่า เด็กไทยไม่โง่ไปเสียหมดทุกคน และเด็กก็ยังคงเป็นผ้าขาวที่จะเปรอะเลอะก็เพราะผู้ใหญ่และสังคมที่เราเป็นอยู่...

 ถ้าจะแก้ที่เด็กไทยซึ่งเป็นปลายเหตุ ก็ควรจะแก้ที่ต้นเหตุ นั่นคือผู้ใหญ่ ให้คิดและทำเพื่อเป็นแบบอย่างเพื่อคนรุ่นต่อไป มากกว่าจะกอบโกยเอาอะไรจากคนรุ่นนี้แล้วปล่อยให้เด็กที่ค่อยๆ โตขึ้นมาเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่ได้...ตลอดชาติ

เจนนิเฟอร์ คิ้ม