
"น้ำพริกหมกกะลา"สูตรพื้นบ้าน ควรค่าอนุรักษ์-ของดีเมืองพังงา
ชาวใต้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์รู้จักคำว่า น้ำซุป แต่ชาวภาคกลาง เหนือ อีสาน อาจไม่ค่อยคุ้นหูนักกับคำนี้ หรือจะคุ้นหูก็คงเข้าใจว่าเป็น "น้ำซุป" ที่รับประทานเพื่อช่วยเสริมให้อาหารจานนั้นๆ คล่องคอขึ้น แต่สำหรับคำคำนี้ในความหมายของท้องถิ่นภาคใต้ หมายถึง น้ำพริก
หนนี้ ขออาสาพาท่านไปรู้จักน้ำซุป อีกรูปแบบหนึ่งของชาวบ้านชาวท้องถิ่นทางภาคใต้ คือการทำ “น้ำพริกพรก” หรือ น้ำพริกหมกกะลา ของ นางยุพา ลือเสียง แม่เฒ่าวัย 62 ปี หรือที่ชาว ต.ตากแดด อ.เมือง จ.พังงา รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม "แม่ทิ้ง" ที่ได้ร่วมกับสามี นายคล่อง อยู่ยืน วัย 66 ปี ยืนหยัดทำน้ำพริกหมกกะลาแบบสูตรต้นฉบับดั้งเดิม ที่นอกเหนือจากประกอบเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวแล้ว การทำน้ำพริกชนิดนี้ ยังช่วยอนุรักษ์เมนูน้ำพริกชนิดนี้ไม่ให้สูญหาย และเพื่อสืบทอดไว้ให้เยาวชนรุ่นหลังได้เข้ามาเรียนรู้ และช่วยกันต่อยอดเพื่อพัฒนาเป็นอาชีพต่อไปในอนาคต
"ก่อนที่ป้าจะมาทำน้ำพริกหมกกะลาอย่างเป็นจริงเป็นจังนั้น ป้ามีอาชีพรับจ้างทั่วไป ทั้งรับจ้างขายของชำบ้าง อีกทั้งเปิดบ้านรับทำอาหารบ้างเพื่อเป็นรายได้เสริม และอาหารที่ทำก็จะมีน้ำซุปพรกหรือน้ำพริกหมกกะลาอยู่ในรายการอาหารเสมอ วันหนึ่งมีงานเลี้ยงชาวบ้านที่ลงแขกทำข้าวไร่ ท่านนายก อบต. นายศุภนนท์ ผลแก้ว มาสั่งทำไปเลี้ยงแขกเหรื่อ ด้วยความที่รสชาติอร่อย กลมกล่อม กลิ่นหอม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจากปากต่อปาก น้ำพริกหมกกะลา หรือน้ำซุปพรก ก็เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น" ป้ายุพา เล่าให้ฟังถึงที่มาด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งนั่นเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ที่ทั้งเธอและสามีได้ร่วมกันอนุรักษ์เมนูนี้ให้อยู่คู่เมืองพังงาเรื่อยมาถึงปัจจุบัน
ทว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้แม่ทิ้ง เลือกที่จะส่งเสริมและอนุรักษ์ "น้ำพริกหมกกะลา" นี้ไว้ นอกจากให้รสชาติอร่อย กลมกล่อม มีกลิ่นหอมแล้ว ป้ายุพาบอกวิธีการทำนั้นไม่ยาก อีกทั้งรู้วิธีการทำสูตรแบบดั้งเดิมอยู่แล้ว เพราะตนเองได้คุ้นเคยและถูกถ่ายทอดจากรุ่นบรรพบุรุษ ที่สำคัญวัตถุดิบที่นำมาทำนั้นหาได้ง่ายๆ ตามท้องตลาดทั่วไป รวมทั้งราคาไม่แพงในการลงทุนทำแต่ละ "พรก" หรือใน 1 กะลา
"วิธีทำไม่ยาก นอกจากพริกขี้หนูสดๆ แล้ว ต้องใส่ใบทำมังด้วย เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งของจังหวัดพังงาที่กินกับน้ำพริกหรือแกงเผ็ด จะช่วยให้มีรสชาติและกลิ่นหอมเหมือนแมงดานา ตามด้วยกะปิ หัวข่าป่า หัวหอม กระเทียม และปลาฉิ้งฉ้าง พร้อมกับปรุงรสเพิ่มน้ำตาล น้ำปลา มะนาว ก่อนจะขยำให้เข้ากัน แล้วนำไปโปะในกะลามะพร้าว แล้วนำไปย่างไฟบนเตาถ่านอ่อนๆ ประมาณ 30 นาทีซึ่งจะส่งกลิ่นหอมฟุ้ง แสดงว่าสุกพร้อมเสิร์ฟแล้ว กินกับผักสดๆ อร่อยลงตัวมาก" ป้ายุพา แจงถึงวิธีการทำและการันตีถึงความอร่อยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์
ด้วยความอร่อยที่ยาวนานและอยู่คู่บ้านตากแดดมานานกว่า 10 ปี ป้ายุพาบอกในทุกวันนี้จึงมีลูกค้าสั่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง วันๆ หนึ่งต้องย่างไฟไม่ต่ำกว่า 50-60 กะลา หรือช่วงเทศกาลถึงหลักร้อยกะลา เพราะแต่ละกะลานั้นจะส่งกลิ่นหอมของกะปิชวนให้อยากรับประทาน โดยเฉพาะเมื่อรับประทานกับผักพื้นบ้าน ทั้งลวก ต้ม หรือกับผักสดก็จะลงตัวมาก ทั้งนี้ แล้วแต่ความถนัดของผู้บริโภค ที่สำคัญสามารถเก็บไว้ได้ถึง 4-5 วันทีเดียว
ป้ายุพา ยังบอกอีกว่าหากมีผู้สนใจอยากรับประทาน ก็ทำขายในราคาเพียงพรกละ 30 บาท โดยสั่งทำได้ที่บ้านเลขที่ 11/2 หมู่ 3 ต.ตากแดด อ.เมือง จ.พังงา หรือโทร.0-7644-0731
"ยศวดี อุนันธชัย "