ไลฟ์สไตล์

หัวใจไทย-วัฒนธรรมกับสายน้ำสู่ประเพณีลอยกระทง

หัวใจไทย-วัฒนธรรมกับสายน้ำสู่ประเพณีลอยกระทง

18 พ.ย. 2553

วันลอยกระทงปีนี้จะตรงกับวันที่ 21 พ.ย. 2553 นับเป็นประเพณีที่สำคัญของคนไทยอีกประเพณีหนึ่งที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณในช่วงวันเพ็ญขึ้น15 ค่ำเดือน 12 ซึ่งเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงแสงจันทร์สว่างไสว แม่น้ำใสสะอาด เป็นบรรยากาศที่งดงามเหมาะแก่การลอยกระ

ประเพณีลอยกระทงมีการบอกกล่าวเล่าขานมาแต่โบราณว่า เป็นพิธีกรรมร่วมกันของผู้คนในชุมชนทั้งสุวรรณภูมิหรือภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เพื่อขอขมาต่อธรรมชาติ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าลอยกระทงเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไร แต่พิธีกรรมเกี่ยวกับ ผี ผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ มีอยู่กับผู้คนในชุมชนสุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า 3 พันปีมาแล้วตั้งแต่ก่อนรับศาสนาพุทธ - พราหมณ์จากอินเดีย

สำหรับในประเทศไทยเริ่มจากสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการสร้างสรรค์ประเพณีเกี่ยวกับน้ำขึ้นมาให้เป็น ประเพณีหลวง ดังมีหลักฐานการตราเป็นกฎมณเฑียรบาลว่า พระเจ้าแผ่นดินต้องเสด็จไปประกอบพิธีกรรมทางน้ำ เพื่อความมั่นคงและมั่งคั่งทางกสิกรรมของราษฎร และยังมีขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคเพื่อประกอบพระราชพิธีโดยเฉพาะ

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นช่วงที่บ้านเมืองมั่นคง การค้าก็มั่งคั่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่3) ทรงโปรดให้ฟื้นฟูประเพณีพิธีกรรมสำคัญเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของราชอาณาจักรโดยทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ ตำราท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือ นางนพมาศ ขึ้น สมมุติให้ฉากของเรื่องเกิดขึ้นในยุคพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย ซึ่งตำราดังกล่าวได้พูดถึงนางนพมาศว่าเป็นพระสนมเอกของพระร่วง ที่ได้คิดประดิษฐ์กระทงใบตองเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้ง สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปถวายสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นและทราบถึงความหมาย

พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่าแต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัวอุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน ด้วยเหตุนี้ จึงเกิด กระทง ที่ทำด้วยใบตองแทนวัสดุอื่นๆ

และตั้งแต่นั้นมาประเพณีลอยกระทงจึงเป็นประเพณีที่สำคัญของคนไทยทั่วประเทศมีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี อาทิ ภาคเหนือ มีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ในหลายจังหวัด เช่น ที่จังหวัดตากมีประเพณีลอยกระทงสาย ซึ่งจะแตกต่างจากจังหวัดอื่น เพราะกระทงจะใช้กะลามะพร้าว เมื่อนำมาลอยกระทงจะไหลไปตามร่องน้ำเกิดเป็นสายยาวต่อเนื่อง แสงไฟส่องระยิบระยับ สวยงามมาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การลอยกระทงจะเรียกว่า เทศกาลไหลเรือไฟ เช่น ที่จังหวัดนครพนม จะนำหยวกกล้วยหรือวัสดุต่างๆ มาตกแต่งเป็นรูปพญานาคและรูปอื่นๆ ตอนกลางคืนจุดไฟปล่อยให้ไหลไปตามลำน้ำโขงดูสวยงามตระการตา

ภาคใต้การลอยกระทงของชาวใต้ ส่วนใหญ่จะนำหยวกกล้วยมาทำเป็นแพ บรรจุเครื่องอาหารแล้วลอยไป จะลอยเมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อให้หายเจ็บหายไข้ เป็นการลอยเพื่อสะเดาะเคราะห์ ภาคกลาง การลอยกระทงของภาคกลางจะมี ๒ ประเภทด้วยกันคือ กระทงแบบพุทธ เป็นกระทงที่ประดิษฐ์ด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น ใบตอง ใบกระบือ ก้านพลับพลึง ใบโกศล หรือวัสดุธรรมชาติที่หาได้ตามท้องถิ่นและประดับด้วยดอกไม้สดต่างๆ

 ภายในกระทงจะตั้งพุ่มทองน้อย ธูป 1 ดอกและเทียน1 เล่มกระทงแบบพราหมณ์ มีวิธีการทำแบบเดียวกับกระทงแบบพุทธ จะแตกต่างกันตรงที่ไม่มีเครื่องทองน้อย บางท้องถิ่นจะมีการใส่หมากพลู เงินเหรียญ หรือตัดเส้นผม ตัดเล็บมือเล็บเท้าใส่ในกระทง เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ไปในตัว จะเห็นได้ว่าประเพณีลอยกระทงนั้น สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยมีวัฒนธรรมที่ผูกพันกับสายน้ำอย่างมาก เพราะน้ำถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตของมนุษย์ ทั้งใช้ในการอุปโภคและบริโภคอยู่เป็นประจำทุกวัน

สำนักประชาสัมพันธ์และเทคโนโลยีสารสนเทศ

กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรม