
จัดแสดง"วัฒนธรรมทอง"เทิดพระเกียรติ
สำนักพระราชวังทุ่มงบ 40 ล้านจัดแสดงแสง สี เสียง "วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา" เทิดพระเกียรติในหลวง-ราชินี-พระบรมฯ อย่างยิ่งใหญ่ จัดแสดง 58 รอบ ตั้งแต่ 17 ธ.ค.-28 ก.พ. บัตรราคา 500 บาท
เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 17 พฤศจิกายน สำนักพระราชวังแถลงข่าวการแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสม "วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราชา" เพื่อเทิดพระเกียรติพระบูรพมหากษัตริยาธิราชแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 อีกทั้งยังเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2555 พร้อมด้วยเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2555
นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการสำนักพระราชวัง และประธานการจัดงาน กล่าวว่า ปี พ.ศ.2554 นับเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา หรือ 7 รอบ นับเป็นปีที่น่ายินดีสำหรับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ด้วยทรงเป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของประชาชน เป็นผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ตามพระปฐมบรมราชโองการทุกประการ สร้างความเจริญให้แก่ประเทศเฉกเช่นเดียวกับบูรพมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์
นายรัตนาวุธ วัชโรทัย ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สำนักพระราชวัง รองประธานการจัดงาน กล่าวว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ยังคงได้รับความร่วมมือจาก 2 บริษัท อย่าง บริษัท กันตนา ออร์กาไนเซอร์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และบริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม จัดแสดงทั้งหมด 58 รอบ จำหน่ายบัตรในราคาเดียวคือ 500 บาท รอบละ 2,000 ที่นั่ง ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 1 ธันวาคม จะเปิดให้ติดต่อซื้อบัตรแบบเหมารอบ เพราะเราไม่มีสปอนเซอร์หลักในการจัดงาน กิจกรรมครั้งนี้มีงบอยู่ 40 ล้านบาท มีผู้ติดต่อซื้อเหมารอบไปแล้ว 30 รอบ รอบแรกเป็นของสมาคมศิษย์เก่าจิตรลดา ส่วนประชาชนทั่วไปจะเปิดขายบัตรในวันที่ 6 ธันวาคม ที่สำนักพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง รายได้จากการจัดงานหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล
สำหรับการแสดงจะแสดงวันละ 1 รอบ เวลา 19.00-20.30 น. บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ใช้เวลาในการแสดง 90 นาที ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553-28 กุมภาพันธ์ 2554 ภายในงานจะมีการออกร้านหลักๆ 3 ร้าน คือ มูลนิธิศิลปาชีพ โครงการส่วนพระองค์ โครงการฟาร์มตัวอย่าง เชื่อว่าเป็นโปรเจกท์แรกที่จัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติถวายแด่เจ้านายทั้ง 3 พระองค์พร้อมๆ กัน
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี เอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้อำนวยการด้านการผลิต กล่าวว่า เรื่องราวที่นำมาจัดแสดงเป็นเรื่องราวที่ร้อยเรียงประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเมืองและการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อกอบกู้ สร้าง และรักษาความเป็นชาติร่วมกันของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และประชาชนในช่วงเวลาต่างๆ ให้เราเป็นไทจนถึงทุกวันนี้ พร้อมนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับความรักความผูกพันที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ได้เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานงานและบริหารการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 ครั้งที่ 3/2553 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุมหารือเกี่ยวกับพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 เวลา 19.29 น. ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลที่ศาลฎีกา ระหว่างนั้นจะมีการถ่ายทอดสดให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมใจกันจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลโดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศด้วย
ส่วนที่ลานพระราชวังดุสิต จะมีการจัดพิธีถวายพานพุ่ม ให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมถวายพานพุ่มทุกวัน (1-9 พ.ย. 2553) ตั้งแต่เวลา 13.00-24.00 น. การจัดขบวนแห่ทางวัฒนธรรมเคลื่อนที่จากสนามหลวงไปยังลานพระราชวังดุสิต การแสดงร่วมสมัย/ขบวนแตรวง บริเวณด้านล่างเวที การแสดงของวง Mahidol University Pop Orchestra (MUPO) การแสดงจากศิลปินรับเชิญ อาทิ นายธงไชย แมคอินไตย์ (เบิร์ด) ฯลฯ ซึ่งวันที่ 1 ธันวาคม 2553 เวลา 18 .05 น. นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเป็นประธานเปิดงานพิธีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ลานพระราชวังดุสิต (พระบรมรูปทรงม้า) ด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบการเตรียมการจัดแสดงขบวนเรือประดับไฟเฉลิมพระเกียรติฯ จำนวน 7 ขบวน ในแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณ 18.00-20.30 น. โดยจะมีขบวนเรือจากท้องถิ่นมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ประมาณ 600 ลำ และมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานอนุกรรมการประสานงานและบริหารการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 ประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อรับทราบความคืบหน้าการเตรียมดำเนินการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ จากหน่วยงานต่างๆ กล่าว่วา การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “แผ่นดินของเรา” ในปีนี้มีส่วนราชการการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และประชาชนร่วมจัดกิจกรรมมากมาย โดยในส่วนของรัฐบาลมีการเตรียมการจัดกิจกรรมดังนี้
กระทรวงวัฒนธรรม มีการจัดเตรียมสถานที่บริเวณพระลานพระราชวังดุสิตแล้วเสร็จในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 นอกจากนี้ในช่วงการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ระหว่างวันที่ 1-9 ธันวาคม 2553 บริเวณเวทีจะเปิดโอกาสให้ส่วนราชการ ประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมทั้งภาคประชาชนทุกส่วนได้ร่วมวางพานพุ่มถวายพระพรทุกวัน ในเวลา13.00-24.00 น. โดยสามารถขอลงทะเบียนได้ที่ด้านหลังเวที ในการนี้ ได้มีการจัดเตรียมพานพุ่มไว้บริการให้ด้วย
กระทรวงคมนาคมจัดโครงการพาพ่อเที่ยวประกอบด้วย
- กรมเจ้าท่าจัดโครงการไหว้พระทางเรือ ระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2553 เส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ - เกาะเกร็ด
- กรมทางหลวงชนบท จัดโครงการพ่อลูกล่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาชมแสงสีของสะพานภูมิพล จังหวัดสมุทรปราการ ในยามค่ำคืนวันที่ 4 ธันวาคม 2553
- การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดโครงการท่องเที่ยวด้วยขบวนรถไฟฟ้าหัวจักรไอน้ำวันที่ 4 ธันวาคม 2553 ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 5 ธันวาคม 2553 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และวันที่ 6 ธันวาคม 2553 ที่จังหวัดนครปฐม
- การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จัดโครงการโดยสารรถไฟฟ้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในวันที่ 5 ธันวาคม 2553
- บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดโครงการเดินทางเป็นคู่จองตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษตั้งแต่วันที่ 1-31 ธันวาคม 2553
- บริษัท ขนส่ง จำกัด จัดโครงการธันวาพาพ่อเที่ยวโดยมีส่วนลดในการเดินทาง
สำหรับการจัดขบวนเรือประดับไฟเฉลิมพระเกียรติฯ จะจัดเพียงวันเดียวในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 โดยขบวนเรืออยู่ที่สะพานพระปิ่นเกล้าถึงหอประชุมกองทัพเรือ ซึ่งจะมีเรือร่วมขบวนประมาณ 600 ลำ เริ่มขบวนตั้งแต่เวลา 18.00-20.30 น.
กรมการศาสนา จะจัดกิจกรรมดังนี้
- จัดพิธีอุปสมบทพระภิกษุ จำนวน 7,056 รูป ในกรุงเทพมหานครจำนวน 9 วัดๆ ละ 84 รูป ส่วนภูมิภาค 75 จังหวัดๆ ละ 1 วัดๆ ละ 84 รูป ขณะนี้วัดในกรุงเทพฯ ได้เข้าร่วมโครงการครบทั้ง 9 วัด แล้ว โดยวัดพิชยญาติการาม เขตคลองสาน จะจัดพิธีอุปสมบทในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 เวลา 09.00 น. ซึ่งจะกราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี
- พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 84 รูปต่อวัน (โครงการทำดี 9 เช้า 9 วัน 9 วัด) จะจัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์รวม 9 วัน ตั้งแต่วันที่ 1-9 ธันวาคม 2553 เวลา 07.00-08.00 น. ณ ลานพระราชวังดุสิตด้านหน้าเวทีกลาง ซึ่งในแต่ละวันจะเรียนเชิญรับมนตรีว่าการกระทรวงทุกกระทรวงมาเป็นประธาน ส่วนวันแรกจะกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี
- พิธีทางศาสนาของศาสนิกชน 5 ศาสนา เป็นการประกอบพิธีทางศาสนาของ 5 ศาสนาๆ ละ 84 รูป/คน รวม 420 รูป/คน ในวันที่ 2 ธันวาคม 2553 เวลา 15.00-16.00 น. ณ อาคารใหม่สวนอัมพร
- พิธีละหมาดเพื่อขอพรจากอัลลอฮ์ของศาสนาอิสลาม ส่วนกลางจัดขึ้นที่มัสยิดดารุลอิบาดะห์ ซอยรามคำแหง ๖๐ แขวงหัวหมากน้อย เขตบางกะปิ ซึ่งจะจัดพร้อมกับมัสยิดทุกแห่งทั่วประเทศ ในวันศุกร์ที่ 3ธันวาคม2553 เวลา 12.00 น. โดยส่วนกลางท่านจุฬาราชมนตรีเป็นประธานประกอบพิธี
- พิธีบูชาขอบพระคุณนมัสการพระเจ้าพร้อมกล่าวคำอธิษฐานของศาสนาคริสต์ส่วนกลางจัดขึ้นที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ เขตบางรัก มีผู้เข้าร่วมประมาณ 900 คน ส่วนภูมิภาคจัดขึ้นที่โบสถ์ทุกแห่งทั่วประเทศในวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553 เวลา 08.00 น.
- พิธีสวดถวายพระพรของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ส่วนกลางจัดขึ้นที่โบสถ์เทพมณเฑียร เขตพระนคร ในวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553 ภาคเช้า เวลา08.00-12.00 น. ภาคค่ำ เวลา 19.29 น. มีผู้เข้าร่วมประมาณ 2,000 คน
- พิธีสวดอัรดาสของศาสนซิกข์ ส่วนกลางจัดที่ศาสนสถานคุรุดวาราซิกข์ (วัดซิกข์) พาหุรัด เขตพระนคร ในวันที่ 28 พฤศจิกายน -9 ธันวาคม 2553 วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 น. วันเสาร์ - อาทิตย์และวันหยุดราชการ เวลา 12.00 น. ส่วนภูมิภาคจัดพิธีที่คุรุดวาราซิกข์ทุกแห่งทั่วประเทศ เฉพาะวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2553 และวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553 จะประกอบพิธีถวายพระพรตลอดจนบริจาคโลหิต
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ รวม 4 กิจกรรมดังนี้
- พิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามและทุกวัดทั่วประเทศ เวลา 16.00 น. จำนวน 4 ครั้ง (วันที่ 1 พฤษภาคม2553 วันที่ 2 กันยายน 2553 วันที่ 4 ตุลาคม 2553 และวันที่ 4ธันวาคม 2553)
- พิธีเจริญจิตภาวนาถวายพระราชกุศลโดยพระสงฆ์ทุกวัดหลังสวดมนต์เย็นตลอดปี 2553
- โครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติฯ พระสงฆ์ 2,553 รูป ระหว่างวันที่ 3-7 ธันวาคม 2553 ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
สำหรับพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธี เวลาประมาณ19.29 น. ที่บริเวณศาลฎีกา ซึ่งเป็นการจัดงานโดยมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช นอกจากนี้ จะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลในส่วนกลางอีกสองแห่งคือ ที่บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต และในขบวนเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งขบวนเรือจะตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลศิริราช ตลอดจนทุกจังหวัดจะจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลพร้อมกันกับในส่วนกลาง
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้จัดกิจกรรมพิเศษเพิ่มเติมคือ การฉายภาพยนตร์เฉลิม-พระเกียรติ จำนวน 7 เรื่อง ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลในทุกจังหวัด และบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์ รวมทั้งกราบบังคมทูลฯ ขอพระบรมราชานุญาตผลิตเป็นวีซีดี จำนวน 5 ล้านชุด เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับชมอย่างทั่วถึง
ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพุทธศักราช 2553 นี้ สำนักพระราชวังได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 ในสถานที่พระราชฐาน ได้แก่ ในพระบรมมาราชวัง พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพานราช-นิเวศน์ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ พระราชวังบางปะอิน พระราชวังสนามจันทร์ พระตำหนักประทับแรม อำเภอปากพนัง และวังไกลกังวล ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.
ในการนี้ รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรและไปร่วมงานเฉลิมพระเกียรติ “แผ่นดินของเรา” ในสถานที่ต่างๆ ตามที่เห็นสมควร
เปิดตัวหนังเฉลิมพระเกียรติในหลวง3ชุด
ที่กระทรวงวัฒนธรรม นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานแถลงข่าวการจัดเทศกาลภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุครบ 83 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 และเป็นปีที่ 64 แห่งการครองสิริราชสมบัติ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย(สศร.) ในสังกัดวธ. จึงจัดสร้างและร่วมสนับสนุนภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติเพื่อปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ร่วมถวายพระพรและแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีกำหนดฉายในวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 3 ธันวาคม ณ โรงภาพยนตร์ เอสเอฟ เวิล์ด ซีเนม่า ชั้น 7 เซ็นทรัลเวิล์ด เปิดให้ชมฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
“ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่ต้องการสื่อว่า พระเจ้าอยู่หัวรักประชาชนคนไทย เราคนไทยทุกคนรักพระเจ้าอยู่หัว คนที่รักพระเจ้าอยู่หัวก็ต้องไปดู เพื่อที่อย่างน้อยจะได้คิดกลับมาว่าเราลืมทำอะไรไปบ้างหรือเปล่า โดยการสร้างแต่ละเรื่องจะมีหลัก 10 ประการตามรอยพระยุคลบาทเป็นแนวทาง เช่น ความรู้ ความอดทน ความมุ่งมั่น ยึดธรรมะ ความถูกต้อง เรียบง่าย ประหยัด เคารพความคิดเห็นผู้อื่น การรักประชาชน ฯลฯ” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
สำหรับภาพยนตร์ที่จัดฉายครั้งนี้ แบ่งเป็น 3 เรื่อง เรื่องที่ 1 คือ“ร้อยดวงใจให้พ่อ” มี 3 เรื่องสั้น และ 1 แอนิเมชั่น ได้แก่ เรื่องเกษตร...ตะกอน โดยนายนนทรีย์ นิมิบุตร เรื่องสุดสะแนน โดยน.ส.พิมพกา โตวีระ เรื่องเพลงชาติไทย โดยนายเอเดรียนอาทิตย์ อัสสรัตน์ และเรื่องรักที่ยิ่งใหญ่ เป็นแอนิเมชั่น โดยนายศิริศักดิ์ คชพัชรินทร์ และพรรณปพร ศรีสุมานันท์ เรื่องที่ 2 “9 มหัศจรรย์ องค์ราชันย์พลังแผ่นดิน” โดยนายภาม รังสี เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดแรงบันดาลใจที่ได้จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ละเรื่องมีนักแสดงชั้นนำ อาทิ เก้า จิรายุ เป้ อารักษ์ แบงค์ ปวริศร์ สินจัย เปล่งพานิช
เรื่องที่ 3 “ปิดทองหลังพระ ตอนความฝันอันสูงสุด” โดยนายสมชาย เจริญสมบัติ มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเสียสละของทหาร ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ และดูแลสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยสนองรับพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ปิดทองหลังพระ” นำเค้าโครงเรื่องมาจากชีวประวัติบุคคล 2 วีรชนผู้กล้า คือผู้กองเคน ร.ต.อ.ธรณิศศรีสุข หมวดตี้ ร.ต.ต.กฤติติกุล บุญลือ และอีกหลายคน นำแสดงโดย พ.ต.วันชนะ สวัสดี ศรราม เทพพิทักษ์ เอก รังสิโรจน์ ทั้งนี้ จะพิธีเปิดรอบปฐมทัศน์ ในวันที่ 29 พ.ย. เวลา 14.00 น.
ด้านนางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล ผอ.สศร. กล่าวว่า ภายหลังจากที่มีการจัดฉายภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ ที่โรงภาพยนตร์เอส เอฟเวิล์ด ซินิม่า เซ็นทรัลเวิลด์แล้ว สศร. จะมีการนำไปจัดฉายภายในงาน เฉลิมพระเกียติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 บริเวณลานพระราชวังดุสิต และท้องสนามหลวงด้วย รวมทั้งจะมีการนำภาพยนตร์ไปฉายในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และในเทศกาลภาพยนตร์ทั่วโลก เพื่อให้คนทั่วโลกได้เห็นถึงความรักที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อปวงชนชาวไทย และความรักที่คนไทยมีต่อพระองค์ท่าน นอกจากนี้ จะมีการจัดพิมพ์เป็นรูปแบบซีดีเผยแพร่ เพื่อแจกจ่ายประชาชนด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ocac.go.th
นายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “เกษตร..ตะกอน” กล่าวว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวของเกษตรกรคนหนึ่งได้รับเมล็ดทานตะวันมาปลูกเกิดปรากฎการณ์มีดอกที่สวยงามมากจนชาวบ้านทั่วไปแปลกใจคิดว่าเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีการกราบไหว้บูชาขอหวย จนในที่สุดเจ้ามือหวยได้ตัดเอาต้นทานตะวันตายไป สะท้อนภาพความเชื่อบางอย่างมันทำให้การพัฒนาทางการเกษตรสูญหาย