
ลอยกระทงแม่คงคา ถวิลหา เสื้อนา-เสื้อน้ำ
ใกล้ถึงวันลอยกระทงคราใด ใจผมมักส่งเสียงฮัมออกมาเป็นวลีคล้องจองกันบทหนึ่งว่า...กินข้าวอย่าลืมเสื้อนา กินปลาอย่าลืมเสื้อน้ำ...ผมยังจำคำสอนของพ่อเฒ่าชาวไทดำเมืองแถง หรือเดียนเบียนฟูได้ดี แม้วันเวลาจะล่วงเลยมากว่าสองทศวรรษ และถึงแม้เมืองแถงวันนี้จะอยู่ในเขตเว
ถ้าเช่นนั้น เราลอยกระทงเพื่อบูชาและขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำนาม “พระแม่คงคา” เทพนารีในศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) กันตั้งแต่เมื่อไร ? แล้ว “เสื้อน้ำ-เสื้อนา” หายไปไหน ? สันนิษฐานว่า หลังอาณาจักรใหญ่ของชาติพันธุ์ไทดั้งเดิมล่มสลาย คนไทขยับขยายลงมาตั้งถิ่นฐาน ณ ลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน และเจ้าพระยา เกิดเป็นสามอาณาจักรใหม่คือ ล้านนา สุโขทัย อยุธยา ซึ่งแวดล้อมไปด้วยชนชาติที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมาก่อน คือ มอญ ขะแมร์ และพม่า ชนชาติเหล่านี้นับถือสองศาสนาหลักคือ พุทธ กับพราหมณ์ ซึ่งยามนั้น (ราว 800 ปีก่อน) ไม่ต่างอะไรกับ ISO14000 ใครได้สองศาสนานี้มาเป็นสรณะ นับว่า “อินเทรนด์” ยิ่งนัก
นับแต่นั้น “เสื้อนา” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนาข้าว ก็ถูกแต่งองค์ทรงเครื่องให้เลิศหรูอลังการ แล้วเรียกขานใหม่ว่า “พระแม่โพสพ” ซึ่งเป็นปางหนึ่งหรือภาคหนึ่งของ”พระนางลักษมี” เทพนารีแห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ ชายาของมหาเทพฮินดูนาม “วิษณุ” หรือ “นารายณ์” ส่วน “เสื้อน้ำ” ก็กลายเป็น “พระแม่คงคา” เทพนารีแห่งสายน้ำ ธิดาของพระหิมวัต เทพแห่งเทือกเขาหิมาลัย และเป็นพี่สาวของพระอุมา ชายาของพระศิวะมหาเทพ เล่าขานว่า เมื่อพระคงคากำเนิด บรรดาทวยเทพต่างยินดีปรีดาจึงพากันอัญเชิญพระนางไปสถิตเป็นสายธารสวรรค์ ซึ่งมนุษยโลกจะเห็นพระนางเป็นทางสีขาวยาวพาดไปตามโค้งฟ้า ที่ฝรั่งเรียก “ทางน้ำนม” (Milky Way) หรือที่มาเรียกกันภายหลังว่า “ทางช้างเผือก” แต่ชาวฮินดูเรียก “คงคาสวรรค์” (Ganges) และนับถือว่าเป็นหนทางสู่สวรรค์ ยามมีลมหายใจต้องได้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งสายธาราคงคาสักครั้ง ยามสิ้นลมแล้วก็ขอให้ร่างได้มอดไหม้ ณ ริมฝั่งคงคา เพื่อเถ้าอัฐิจะได้ถูกกวาดลง ณ คงคา ให้พระแม่แห่งสายน้ำนำพาดวงวิญญาณไปสู่สรวงสวรรค์
บางตำนานเล่าขานว่า ยามเกรี้ยวกราด คงคาสวรรค์อาจไหลลงมาสู่พื้นโลกอย่างรุนแรง ถึงขั้นโลกจะแตกได้ ศิวะมหาเทพจึงโปรดเอามุ่นมวยผมของพระองค์ไปชะลอคงคามหานทีไว้ นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งก็ได้ที่ทำให้มนุษย์ต้องบัตรพลีบูชาพระแม่คงคาให้ดี หากคิดว่าทำอะไรไม่ดีกับแม่ เช่น มีส่วนร่วมทำให้น้ำสกปรก ก็ต้องขออภัยด้วยการจุดประทีปลงในกระทงลอยไปขอขมาลาโทษ และขออย่าให้พระแม่โกรธจนเกรี้ยวกราด จนน้ำท้วมท้นล้นตลิ่ง กระทั่งลูกๆ ต้องตกระกำลำบากอย่างที่เห็นชัดแจ้งในปีนี้
ข้างฝ่ายพุทธไม่ยอมน้อยหน้า อธิบายว่า การลอยกระทงมีต้นกำเนิดจากศาสนาพุทธ เพราะเมื่อครั้งยังไม่ตรัสรู้ พระพุทธองค์ได้เสวยข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา แล้วทรงตั้งสัตยาธิษฐานลอยถาดข้าว ณ ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา ว่า หากพระองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริง ก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำ ปรากฏว่าถาดค่อยๆ จมลงในลักษณะทวนน้ำ จนไปถูกขนดหางของพญานาคผู้รักษาบาดาล ครั้นเมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พญานาคมีความเลื่อมใส จึงขอให้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ให้ตนบูชาที่ริมฝั่งเนรัญชรา ความทราบถึงนางสุชาดาจึงนำเครื่องหอมและดอกไม้ใส่ถาดลอยน้ำไปสักการบูชาเป็นประจำ จนกลายเป็นประเพณีลอยกระทงสืบมา กับอีกตำนานหนึ่งคือ ชาวพุทธลอยกระทงไปบูชารอยพระพุทธบาท ณ ริมฝั่งนัมมทานที ที่ซึ่งพระองค์เสด็จมาแสดงธรรมโปรดพญานาค จนพญานาคเกิดความเลื่อมใส
เมื่ออธิบายดังนี้แล้ว การลอยกระทงจึงตอบสนองทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายพราหมณ์ฮินดู โดยเฉพาะคนไทย ที่แม้จะประกาศตนเป็นพุทธ แต่ก็รับคติพราหมณ์ฮินดูมาผสมผสานได้เนียนสนิทในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการดูดวงทำนายโชคชะตาราศี หรือดูฤกษ์งามยามดี ฯลฯ และด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ที่ทำให้งานลอยกระทงในไทยมีการประยุกต์และพัฒนาจนอลังการงานสร้างเสียยิ่งกว่าดินแดนต้นกำเนิดคืออินเดีย โดยเฉพาะงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ ที่สุโขทัย ยอมรับกันว่า ทั้งยิ่งใหญ่ ขรึมขลัง อลังการตระการตาเป็นที่สุด โดยมีอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นศูนย์กลางของงานสุดคลาสสิก ปีนี้ จ.สุโขทัย กำหนดจัดงานสามวันสามคืน ระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน ผมมีโอกาสไปชมหลายครั้ง แต่ก็ยังตื่นตาตื่นใจกับสีสันบรรยากาศภายในงานทุกครั้ง จนอยากบอกว่า...นี่คืองานประเพณีที่ครั้งหนึ่งในชีวิต คุณควรจะได้ไปสัมผัส!
เรื่อง - ภาพ... "ธีรภาพ โลหิตกุล"