
เสน่ห์นาข้าวขั้นบันไดที่แม่แจ่มจ.เชียงใหม่
ธรรมชาติมีอะไรให้เราเรียนรู้มากมาย... อาจจะเกินความคาดหมายและมากกว่าที่เราคิด ด้วยนอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้ว ธรรมชาติยังมีอะไรให้เราเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ อีกทั้งทุ่งนา ป่าเขาหน้าฝน จะเปล่งเสน่ห์ออกมาอย่างเต็มที่... แม้ว่าการเดินทางชมธรรมชาติในหน้าฝนจะล
กลางฤดูฝนต้นเดือนตุลาคมปีนี้ ฉันตัดสินใจขึ้นเหนือ มุ่งหมายไปชมนาข้าวเขียวชอุ่ม 2-3 แห่ง... หนึ่งในนั้นคือ “นาข้าวขั้นบันได” ที่อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนาข้าวขั้นบันไดที่สวยที่สุดในประเทศไทย
“โอหมึเชอเปอ”... ฉันกล่าวคำทักทายภาษากะเหรี่ยงกับเพื่อนที่บ้านแม่กลางหลวง อันมีความหมายว่า “สวัสดี” พร้อมกับถามไถ่ว่าพอจะมีเวลาว่างเป็นสารถีพาไปไหว้พระ และชมนาข้าวขั้นบันไดที่อ.แม่แจ่มหรือไม่
เราออกเดินทางออกจากหมู่บ้านตั้งแต่เช้ามืด มุ่งหน้าไปยัง ดอยอินทนนท์ เพื่อดูนกที่ด่านสอง ก่อนเดินทางต่อไปตามถนนที่คดเคี้ยวและมีหลายช่วงที่ชัน รวมถึงเป็นโค้งหักศอก แต่มีวิวสวยๆ ริมทางที่ผ่านเข้ามาในสายตาให้เพลิดเพลิน
เราแวะไหว้พระที่ “วัดพุทธเอ้น” อันเป็นวัดที่ชาวแม่แจ่มให้ความเคารพอย่างสูง... ชื่อเดิมว่า วัดศรีสุทธาวาสเอิ้นมงกุฎ มีตำนานเล่าขานกันว่า ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดเวไนยสัตว์ผ่านมาและได้ทรงหยุดพักผ่อนที่ดอนสกานต์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดในปัจจุบัน ทรงตรัสเรียกหาพระอานนท์ พระพุทธอุปัฏฐาก ให้หาน้ำมาเสวย เสร็จแล้วทรงบ้วนพระโอษฐ์ลง ณ บริเวณที่บ่อน้ำในปัจจุบัน ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่มีลักษณะน้ำบ้วนออกจากใต้พื้นดิน ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายไม่ว่าบ้านเมืองจะแห้งแล้งเพียงใดก็ตาม ต่อมาได้มีพระภิกษุ 2 รูปคือ พระติวิทวังโส และพระชมภูวิทโย ธุดงค์ผ่านมาจึงได้รวมชาวบ้านละแวกนั้น สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณที่น้ำพุ่งออก... ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงนำภาชนะมารองน้ำตลอดวัน
ภายในวัดมีวิหารอายุหลายร้อยปี ด้านหลังมีเจดีย์ศิลปะแบบล้านนา... เราเข้าไปในวิหารเพื่อไหว้พระ ก่อนจะมาถ่ายรูปหอไตรด้นหลัง
ที่วัดนี้ มี “อุทกโบสถ” อันเป็นอุโบสถที่อยู่กลางน้ำ ซึ่งปกติเราจะเคยเห็นแต่หอไตรที่อยู่กลางน้ำ... ด้วยตั้งอยู่กลางน้ำที่มีปลาว่ายไปมาอยู่ไม่น้อย จึงมีนกที่กินปลาเป็นอาหารมาคอยเมียงมองเพื่อโฉบปลาเป็นอาหาร ทั้งนกยาง และนกกระเต็น
เราเดินทางต่อจุดหมายอยู่ที่ “บ้านสันบนเปียง” อันเป็นชุมชนของชาวกะเหรี่ยง... ทางขึ้นเขาเป็นถนนดินแดงที่ทั้งชันทั้งแคบ ที่ทำให้อดลุ้นเล็กๆ ว่ารถจะขึ้นไหวหรือไม่อยู่หลายครั้ง ดังนั้น พาหนะต้องเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้ออย่างเดียว และควรมีคนนำทางที่ชำนาญทาง เพราะกลางฤดูฝนอย่างนี้ เมื่อขับไปไม่นานดอกยางจะเต็มไปด้วยดินโคลน รถอาจลื่นไถลได้ง่ายๆ
ทุ่งนาทั้งหมดที่บ้านสันบนเปียงเป็นของชาวบ้านที่เป็นกะเหรี่ยงที่เรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” ที่มีการดำรงชีวิตอย่างสุขสงบ ด้วยความเคารพระหว่างมนุษย์ ผี ธรรมชาติ และศีลธรรม ซึ่งเกื้อกูลให้ดำรงชีพอย่างสงบสุข ท่ามกลางป่าเขาอันอุดมสมบูรณ์มายาวนานหลายร้อยปี
ปัจจุบันถึงแม้จะมีถนนดินติดต่อกับโลกภายนอก แต่สังคมของคนที่นี่ก็ยังนับว่าค่อนข้างปิดเพราะอยู่บนที่สูง จึงมีวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่ บ้านเรือน รวมถึงวิถีการผลิตที่เปลี่ยนแปลงน้อย
ชาวกะเหรี่ยงปลูกข้าวไร่ตามไหล่เขาโดยใช้วิธีขุดหลุมหยอดเมล็ดข้าว กลบ แล้วปล่อยให้ข้าวเติบโตด้วยน้ำฝนธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางพื้นที่ที่มีการปรับไหล่เขาให้เป็นนาขั้นบันไดแบบที่เห็นในภาพ และทำนาด้วยการดำนา
ทุ่งนาที่ปรากฏในสายตายามนี้ ดูเหมือนพรมสีเขียวผืนยักษ์ที่ทาบทอไปกลางหุบเขา เปล่งพลังสีเขียวอย่างเต็มที่จากการที่ต้นข้าวได้รับน้ำฝนมาอย่างจุใจตั้งแต่ต้นฤดู... ความมหัศจรรย์ที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์
ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าในธรรมชาติมีผีคอยปกปักรักษา... น้ำทุกห้วย ภูเขาทุกลูก ป่าทุกแห่ง ล้วนมีผีที่คอยคุ้มครองผู้มีศีลธรรม ชาวกะเหรี่ยงจึงปฏิบัติต่อขุนเขา ลำห้วย และป่าไม้ด้วยความเคารพ ไม่ล่วงเกิน และใช้ทรัพยากรเหล่านั้นอย่างเห็นคุณค่า ชาวกะเหรี่ยงไม่ได้มองธรรมชาติเป็นเพียงวัตถุที่ปราศจากชีวิตจิตใจและเป็นสมบัติของมนุษย์...
มุมที่มองจากยอดเขา... ความกว้างใหญ่ของธรรมชาติ วูบหนึ่งทำให้ฉันตระหนักว่าตัวเรานั้นเล็กเพียงใด เพื่อนชาวกปาเกอะญอที่ถ่ายทอดมุมมองของความศรัทธาต่อธรรมชาติ อยู่อย่างไม่กอบโกยและไม่ทำลาย ทำให้ตระหนักรู้ในเสน่ห์ของนาข้าวและความร่มเย็นของฝนกลางฤดู
นาข้าวที่ซ่อนตัวในหุบเขาของบ้านสันบนเปียงงดงามปานประหนึ่งภาพฝัน ด้วยสีเขียวๆ ของต้นข้าวตัดกับสีฟ้าเทาสดใสของภูเขาสูงบที่มีละอองไอหมอกคลุม
... นี่คือไฮไลท์อันซ่อนเร้นของนาข้าวขั้นบันไดหน้าฝน ที่เป็นมากกว่าจุดชมวิว ที่ที่คุณจะชื่นชมสัมผัสได้ก็ด้วยการเดินทางไปพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาของตัวเอง โดยไม่ต้องกลัวเปียก...
อย่าลืมว่า ความทรงจำดีๆ ไม่มีวันจบ ทุกครั้งที่ดูรูปถ่ายความรู้สึกดีๆ จะกลับมาสู่จิตใจเสมอ