
ผ่าตัดมดลูก...ซ่อนแผล
เมื่อพูดถึงการผ่าตัดบริเวณมดลูก ในอดีตผู้หญิงมักจะคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งเรื่องแผลที่เกิดหลังการผ่าตัด อาการเจ็บหลังการผ่าตัด การพักฟื้นที่ใช้เวลานาน หรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร
แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ไทยที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดหลากหลายวิธีช่วยให้การผ่าตัดมดลูกเป็นเรื่องง่าย
จากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง สู่การส่องกล้องผ่าตัดแบบ 3 หรือ 4 แผล ล่าสุดพัฒนาไปสู่การส่องกล้องผ่าตัดแบบแผลเดียว อีกหนึ่งทางเลือกของวิธีการรักษาที่กำลังเป็นที่น่าสนใจของคุณผู้หญิงในปัจจุบัน
การส่องกล้องผ่าตัดมดลูกแบบแผลเดียว หรือ การส่องกล้องผ่าตัดมดลูกแบบซ่อนแผล นั้น ได้รับความนิยมในต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยเพิ่งเริ่มนำวิธีนี้ พร้อมอุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดแบบพิเศษ เข้ามาใช้เมื่อประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมา
จุดเด่นของ “การผ่าตัดมดลูกแบบซ่อนแผล” คือ “แผลเดียว” ที่บริเวณสะดือ ทำให้แทบมองไม่เห็นแผล เพราะมีขนาด 1.2-1.5 ซม. และซ่อนอยู่ในสะดือ ที่สำคัญยังสามารถเรียกความมั่นใจของคนไข้ผู้หญิง จากความวิตกกังวลของแผลหลังการผ่าตัดได้ ทำให้คนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดมีความพึงพอใจมาก ฟื้นตัวได้เร็วภายใน 1-2 วัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการพักฟื้น และสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติเร็วขึ้น
ด้านอาการหรือโรคต่างๆ ที่จำเป็นต้องผ่าตัดมดลูกนั้น มีหลายกรณี ได้แก่ โรคที่เกิดจากมดลูก เช่น เนื้องอกในมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังอย่างรุนแรง โรคที่เกิดจากถุงน้ำรังไข่ เช่น ช็อกโกแล็ตซีสต์ ในกรณีที่คนไข้ต้องการเก็บมดลูกไว้ ทางแพทย์จะผ่าตัดแค่ปีกมดลูกออกไปเท่านั้น
แม้ว่า “การส่องกล้องผ่าตัดมดลูกแบบแผลเดียว” นั้น จะเป็นอีกทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่หากอาการหรือโรคของคนไข้อยู่ในข้อจำกัดบางประการ หรือตามดุลพินิจของแพทย์นั้น ไม่เห็นสมควรสำหรับการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ เช่น ขนาดของมดลูกมีขนาดใหญ่มากกว่า 2 ใน 3 ของอุ้งเชิงกราน หรือมีพังผืดเยอะมากในอุ้งเชิงกราน ก็จำเป็นที่จะต้องเลือกใช้วิธีการผ่าตัดแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมแทน เช่น การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง หรือการส่องกล้องผ่าตัดแบบสาม 3 หรือ 4 แผล ดังนั้น “การส่องกล้องผ่าตัดมดลูกแบบซ่อนแผล” นั้น ทางแพทย์ผู้ดูแลจะวินิจฉัยเป็นกรณีรายคนไป
สำหรับการดูแลตนเองหลังผ่าตัดนั้น คนไข้ไม่ควรยกของที่มีน้ำหนักมากจนเกินไป รวมทั้งงดการมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 เดือน นอกนั้น สามารถรับประทานอาหาร และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
การดูแลและรักษาตนเองให้ห่างไกลจากโรคร้ายทางนรีเวช ไม่จำเป็นว่าต้องอายุ 30 ปีขึ้นไป จึงจะเริ่มเข้ามารับการตรวจ การเริ่มมีเพศสัมพันธ์แล้วต่างหากเป็นสัญญาณที่แท้จริงว่า ควรเริ่มใส่ใจกับตนเอง และเข้ารับการตรวจภายในได้แล้ว เพราะเท่ากับว่าอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ ทางนรีเวชได้ เช่น โรคมะเร็งปากมดลูก หากตรวจภายในแล้วพบข้อบ่งชี้ที่น่าสงสัย แพทย์จะแนะให้ทำอัลตราซาวนด์เพิ่มเติม ซึ่งเพียงแค่ 2 ขั้นตอนนี้ ก็สามารถบอกความผิดปกติต่างๆ ของร่างกายได้มากกว่า 90%
ที่สำคัญควรหมั่นมาตรวจภายในทุกปี และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารต่างๆ ที่อาจใส่สารเร่งฮอร์โมน ซึ่งอาจไปกระตุ้นการทำงานของระบบภายใน จนทำให้เกิดความผิดปกติได้
นพ.สุวันชัย ชัยรัชนีบูลย์
โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล พหลโยธิน