ไลฟ์สไตล์

เนชั่นปั้นนักข่าวพันธุ์ใหม่Mango Mojo on Campus

เนชั่นปั้นนักข่าวพันธุ์ใหม่Mango Mojo on Campus

16 ต.ค. 2553

เนชั่นปั้นนักข่าวสายพันธุ์ใหม่ เปิดตัวโครงการ Mango Mojo on Campus อบรมนิสิตนักศึกษา 60 คน จาก 36 สถาบันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-25 ตุลาคมนี้ เน้นสร้างนักข่าวที่มีความสามารถครบเครื่องประจำสถาบันการศึกษาของตนเอง พร้อมก้าวสู่สายวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างมืออา

(16ต.ค.) นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นบีซี เป็นประธานเปิดโครงการ "Mango Mojo on Campus"  ที่ห้องประชุมชั้น 9 เนชั่นทาวเวอร์ โดยมีนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 60 คน จาก 36 มหาวิทยาลัย เข้าร่วมอบรมเป็นนักข่าวสายพันธุ์ใหม่ในสไตล์ Mango TV หรือ MANGO MOJO ระหว่างวันที่ 16-25 ตุลาคม 2553 เป็นการสร้างคนข่าวของเนชั่นที่ขยายสู่นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อเป็นการเสิรมสร้างคุณภาพคนในด้านการสื่อสารมวลชนให้มีคุณภาพมากขึ้น

 นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า MOJO มาจากคำว่า  MOBILE JOURNALIST หมายถึงนักข่าวที่มีความสามารถในการทำงานได้อย่างครบเครื่อง โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อออกอากาศทางทีวี ตลอดจนช่องทางการสื่อสารแบบนิวมีเดีย สามารถรายงานข่าว ตัดต่อและสั่งขึ้นทั้งทีวีและโซเชียลมีเดียได้ด้วยตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมานักข่าวภาคสนามสายการเมืองของเนชั่น แชนแนล ได้แสดงศักยภาพในการรายงานข่าวที่เกิดขึ้นจากจุดเกิดเหตุได้ทันทีและสามารถเกาะติดสถานการณ์ได้อย่างคล่องตัวผ่านทุกสื่อ ทั้งสื่อทีวี นิวมีเดีย และโซเชียลมีเดีย

 "โครงการนี้เราต้องการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้นิสิตนักศึกษาที่มีแรงใฝ่ฝัน แรงบันดาลใจอยากเป็นนักข่าว ตลอดการอบรมทั้ง 10 วัน น้องๆ นิสิตนักศึกษาทั้ง 60 คน จะได้เรียนรู้ความเป็นนักข่าว ทั้งเรื่องการจับประเด็นข่าว การเจาะข่าว การรายงานข่าวโทรทัศน์ การออกเสียงและจริยธรรม ฯลฯ จากประสบการณ์จริงของวิทยากร เนชั่น แชนแนล และ แมงโก้ ทีวี และเนชั่นกรุ๊ป เพื่อกลับไปทำหน้าที่นักข่าว นักสื่อสารมวลชนประจำสถาบันการศึกษาของตนเอง ให้แก่แมงโก้ ทีวี และ เนชั่น แชนแนล หากข่าวไหนน่าสนใจจะได้รับการคัดเลือกออกอากาศจริง โดยการคัดเลือกนักศึกษาเน้นความหลากหลาย เปิดโอกาสให้ทุกสถาบัน ทุกคณะมาเข้าร่วมการอบรม เพราะเราเชื่อมั่นว่าทุกคนเป็นนักข่าวได้" นายอดิศักดิ์ กล่าว

 นายวิรัตน์ แก้วบังวัน นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตลำปาง อายุ 20 ปี ตัวแทนหนึ่งเดียวของสถาบัน เปิดใจก่อนเข้าร่วมการอบรมครั้งนี้ว่า เพิ่งเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก นั่งรถทัวร์มาคนเดียว เพราะตั้งใจมาเข้าร่วมอบรมการเป็นนักข่าวพันธุ์ใหม่ เมื่อทางเนชั่นเปิดโอกาสให้ฝึกเป็นนักข่าวจริงๆ จึงตั้งใจมาเก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด เพื่อนำกลับไปเสนอข่าวของสถาบัน โดยเฉพาะงานด้านวิชาการ การเรียนการสอนและกิจกรรมนักศึกษาให้ประชาชนรับทราบ ซึ่งในทัศนคติของตนแล้วการทำข่าวต้องอยู่บนพื้นฐานความจริง ถูกต้อง รวดเร็ว และมีเหตุผล ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม 

 น.ส.ณภัทร เทวานุกุลกิจ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชานิเทศศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อายุ 21 ปี กล่าวว่า โดยพื้นฐานเป็นคนชอบทำกิจกรรม ชอบพูด ชอบทำกิจกรรมด้านสื่อสารมวลชนอยู่แล้ว เมื่อได้รับข่าวสารทางเว็บไซต์ว่าทางเนชั่นเปิดรับอบรมนักข่าวพันธุ์ใหม่ จึงสนใจมาร่วมฝึกฝน การเป็นนักข่าวในจิตนาการของตนคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง นักข่าวเป็นบุคคลแรกๆ ที่รายงานข้อมูล ข้อเท็จจริงไปสู่ประชาชน อาชีพนักข่าวคือการทำงานเพื่อสังคม จึงมีความตั้งใจว่าเมื่อผ่านการอบรมแล้วจะนำความรู้กลับไปเผยแพร่งานต่างๆ ของสถาบัน พร้อมทั้งจะเป็นปากเสียงให้นิสิตนักศึกษาทุกคน และนำความรู้พัฒนาตนเองในสายวิชาชีพนักข่าว ผู้ประกาศข่าวต่อไปในอนาคต

 นายซายูตี สาหลำ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาการจัดการ ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ กล่าวว่า แม้จะเรียนมาในสายรัฐประศาสนศาสตร์ แต่สนใจความเคลื่อนไหวของข่าวสาร เหตุบ้านการเมือง ชอบการรายงานข่าวของนักข่าวเนชั่น รายการ จับชีพจรโลก ของ คุณสุทธิชัย หยุ่น ทำให้เรามีความทันข่าว ทันสมัย และเปิดโลกทัศน์กว้างขึ้น เมื่อทางเนชั่นเปิดอบรมนักข่าวจึงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป อยากจะเข้ามานำความรู้ เทคนิค และการสร้างเครือข่ายด้านสื่อสารมวลชนกลับไปพัฒนา ม.อ.หาดใหญ่ ที่สำคัญจะกลับไปพัฒนาท้องถิ่น บ้านเกิดที่ จ.ปัตตานี

 "ผมอยากจะนำเสนอความเป็น ม.อ.หาดใหญ่ ที่เน้นความเป็นดอกไม้หลากสีในประเทศไทย เรามีนักศึกษามาจากทุกภาค เหนือ ใต้ อีสาน มาเรียนร่วมกัน มีความหลากหลาย แต่มีวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันได้ ส่วนที่บ้านเกิดที่ จ.ปัตตานีนั้นเป็นที่ทราบกันว่าเป็นพื้นที่ที่มีความรุนแรง มีการรายงานข่าวความรุนแรงทุกวัน ทำให้คนทั่วไปคิดว่าในปัตตานีนั้นมีแต่ความรุนแรง ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงการกระทำของคนกลุ่มน้อย ไม่ใช่ทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่คนรุ่นใหม่ของเรา หากมีโอกาสเป็นนักข่าว หรือผู้เผยแพร่ข้อมูล จะพยายามเสนอความจริง โดยระมัดระวังการนำเสนอความรุนแรงให้น้อยลง อยากจะบอกว่าบางครั้งเหตุรุงแรงเกิดขึ้นจุดเล็กๆ เพียงจุดเดียวแต่กลับถูกนำเสนอเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ภาพปัตตานีน่ากลัวเกินไป ที่สำคัญการนำเสนอข่าวจะเปิดกว้างให้ประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและต้องเป็นข้อมูลที่มาจากข้อเท็จจริงเท่านั้น" นายซายูตี กล่าว