ไลฟ์สไตล์

“เรือนคึกฤทธิ์”อันเป็น“ราก”ทางความคิดของ“บ้านไม่บาน”

“เรือนคึกฤทธิ์”อันเป็น“ราก”ทางความคิดของ“บ้านไม่บาน”

16 ต.ค. 2553

สวัสดีครับแฟนๆ ชาวคนรักบ้าน ปีนี้ถือเป็นปีที่สำคัญยิ่งสำหรับผม เพราะครบรอบ 100 ปี ชาตกาลของ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ทำให้ผมวางแผนที่จะเข้าไปบันทึกเทปโทรทัศน์รายการ “คนรักบ้าน" ตอนพิเศษ

 ที่เผยแพร่ทางโทรทัศน์เนชั่น แชนแนล ทุกวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 10.00-11.00 น. ซึ่งผมมีความสนใจในหมู่เรือนไทยของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญท่านหนึ่งของโลก ที่ผมได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ที่เป็นความสุขของผมลึกๆ คือ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้ทำให้ผมมีความเชื่อว่า หากคนไทยสามารถธำรงรักษา “ความเป็นไทย" ให้ยืนยงมั่นคงเอาไว้ได้จะทำให้สังคมไทยอยู่รอดปลอดภัย

 ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้เริ่มกลับไปศึกษาผลงานต่างๆ ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมได้กลับไปศึกษาเรือนไทยของท่านอาจารย์ พอศึกษางานของท่านอาจารย์ทำให้ผมต้องกลับไปศึกษางานของศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรมไทยอีกหลายท่าน  เช่น รศ.ฤทัย ใจจงรัก, ดร.ประเวศ ลิมปะรังสี ฯลฯ จะว่าไปแล้วท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ทิ้ง “ราก" ของความเป็นไทยไว้ให้เราได้ศึกษาค้นคว้า ซึ่งในแง่ของศิลปะสถาปัตยกรรมไทยท่านได้ทิ้งเอกลักษณ์ของความเป็นไทย หรือที่ผมมักเรียกว่า “ภูมิไทย" ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้นำมาต่อยอด

 ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จัดได้ว่าท่านเป็นปราชญ์ของแผ่นดิน ทุกครั้งที่ผมได้ไปเยี่ยมบ้านของท่านที่ซอยสวนพลู ผมได้สัมผัสถึงความรักความผูกพันที่ท่านมีต่อ “เรือนไทย” โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีความศรัทธาท่านมากครับ ผมได้มีโอกาสอ่านผลงานของท่านแทบทุกชิ้น มีผลงานที่สำคัญของท่านอยู่ชิ้นหนึ่งที่ผมอยากให้ชาวคนรักบ้านได้อ่านกัน คือ เรื่อง “พม่าเสียเมือง" เป็นเรื่องที่สอนให้คนไทยได้รับรู้ว่า ถ้าเรา “ไม่รู้รักสามัคคี" และ “ไม่รู้เท่าทัน" เราอาจจะ “เสียเมือง" หรือ “เสียเอกราชไ ครับ คำว่า “เสียเอกราช” นั้น ไม่ได้หมายความว่าชาวต่างชาติเข้ามายึดครองผืนดินประเทศไทย แต่เป็นการ “เสียเอกราช" ทางการค้า ทางเศรษฐกิจ ที่หนักหนาสาหัสกว่าการเสียดินแดนหลายเท่าครับ

 จะว่าไปแล้ว “เรือนไทย” ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็นที่พักอาศัยที่เต็มไปด้วยเรื่องราว แม้แต่รูปแบบการจัดสวนของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นั้น เป็นสวนที่ตกแต่งคล้ายกับสวนในวรรณกรรมชิ้นเอกของประเทศในเรื่อง  “ขุนช้าง ขุนแผน" จึงมีนัยทาง “ภูมิปัญญาไทย" ซุกซ่อนไว้แทบทุกส่วน ผมจึงอยากยกย่องว่า “เรือนไทย" ของอาจารย์เป็น “ครูใหญ่” ของผมเลยทีเดียวครับ 

 ผมได้อ่านวรรณกรรมเรื่อง “ขุนช้าง ขุนแผน” ตอน  เรือนขุนช้าง มีใจความที่พอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า “โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ ของขุนช้างปลูกไว้อยู่ดาษดื่น รวยรสเกสรเมื่อค่อนคืน ชื่นๆ ลมชายสบายใจ กระถางแถวแก้วเกษพิกุลแกม ยี่สุ่นแซมมะสังดูไสว สมอรัดดัดทรงสมละมัย ตะขบข่อยคัดไว้จังหวะกัน ยี่สุ่นกุหลาบมะลิซ้อน ซ่อนชู้ชูกลิ่นถวิลหา ลำดวนกวนใจให้ไคลคลา สาวหยุดช้าชื่นแล้วยืนชม ถัดถึงกระถางอ่างน้ำ ปลาทองว่ายคล่ำเคล้าคลึงสม พ่นน้ำดำลอยถอยจม น่าชมชักคู่อยู่เคียงกัน” ช่างงดงามเสียเหลือเกินครับ ซึ่งการจัดสวนหรือการออกแบบวางผังภูมิ สถาปัตย์ในบ้านของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นั้น  จัดได้ว่าเป็นสวนในวรรณคดีที่มี “ราก” มาจากวรรณกรรมชิ้นเอกของประเทศ      

 ในส่วน “เรือนรับรอง" หรือ “ศาลาโขน" ซึ่งผมอยากจะเรียกว่า “ท้องพระโรง" ก็มีนัยสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยครับ เพราะเป็น “เรือนรับรอง" ประเภทอเนกประสงค์ สามารถจัดเป็นเรือนเลี้ยงพระ หลังจากเลี้ยงพระเสร็จก็สามารถจัดเป็นเวทีแสดงโขน และสามารถใช้เป็นที่รับรองแขกเวลามาเยี่ยมเยียนได้ การที่จะเยี่ยมชมบ้านท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ อย่าง “เข้าใจ เข้าถึง" นั้น จำเป็นจะต้องมี “แผนที่ทางปัญญา" ดูประกอบการเยี่ยมชมครับ 

 “แผนที่ทางปัญญา" คือ ต้องรู้ว่าท่านซ่อนนัยอะไรไว้ แม้แต่ “ศิวลึงก์" ที่ท่านนำมาประดับตกแต่งนั้น ต้องรู้ว่าท่านอาจารย์สื่อความหมายถึงอะไร ดังจะเห็นได้ว่า บรรดาต้นหมากรากไม้ในสวนต่างๆ ไม่ใช่เป็นพันธุ์ไม้ปกติครับ เป็นสวนซึ่งมีนัยทางศิลปวัฒนธรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมอยากให้สังคมไทยได้เข้ามาศึกษางานของอาจารย์ ผมเชื่อว่า ถ้าเราจะกลับไปสู่ “ราก" กลับไปค้นหา “ของดีมีอยู่" ของความเป็นไทย หรือ “ภูมิไทย" ได้นั้นเราจำเป็นต้องเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมเหล่านี้  

 บ้านท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ประกอบไปด้วยเรือนไทยน้อยใหญ่ทั้งหมด 5  หลัง เรือนประธาน ซึ่งเป็นเรือนรับรองท่านซื้อมาเพียงแค่ 2,700 บาท จากย่านเสาชิงช้า (ตั้งแต่ปี พ.ศ.2493) สำหรับที่ดินซื้อมาเพียงตารางวาละ 7 บาท (ในซอยสวนพลูจำนวน 5 ไร่) “เรือนไทย" จัดได้ว่าเป็น “เรือนไทยร่วมสมัย" โดยแท้จริง คำว่า “ร่วมสมัย" ของผมคือ ตัวเรือนนั้นหากพิจารณารูปลักษณ์ภายนอกก็ดูเหมือนเป็นเรือนไทยโดยปกติทั่วไปครับ แต่พอเข้าไปดูข้างในปรากฏว่าไม่ใช่เรือนไทยปกติ ท่านอาจารย์ได้ปรับปรุง ดัดแปลงจนสามารถตอบสนองต่อวิถีชีวิตสมัยใหม่ได้อย่างทระนงองอาจไม่อายใคร อีกทั้งยังไม่ต้องเดินตามใคร หรือลอกเลียนแบบใคร

 พอเราขึ้นไปดูชั้นบน เราสัมผัสกับ “กลิ่นอายของความเป็นไทย" มีความเป็นไทยอยู่ในทุกส่วนของ “เรือนไทย" ของท่านอาจารย์ ซึ่งทำให้ผมเกิดความเชื่อมั่นว่าเป็น “ของดีมีอยู่" ของไทยที่จะสามารถต่อกรกับกระแส “โลกาภิวัตน์" หรือ “โลกาวิบัติ" ได้ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร “เรือนไทย” ของอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็สามารถปรับตัวไปตามโลก ไม่ได้ถอยหลังแต่อย่างใด นี่ขนาดท่านอาจารย์ถึงแก่อนิจกรรมไปนานแล้ว ผมยังได้รับรู้ถึงจิตวิญญาณของหมู่เรือนไทยของท่านอาจารย์อยู่ ยิ่งได้ศึกษาก็ยิ่งค้นพบครับ

 ผมอยากให้ชาวคนรักบ้านอย่าละทิ้งบ้านไทย, เรือนไทย หรือศิลปวัฒนธรรมการกิน-การอยู่แบบไทย อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษของเราได้ทิ้งไว้ให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กระแส “โลกาภิวัตน์” หรือ “โลกาวิบัติ” ที่บุกเข้ามาใน “สุวรรณภูมิ" ที่เป็น “บ้านหลังใหญ่" ของบรรดาชาวคนรักบ้านในทุกด้าน ถ้าหากชาวคนรักบ้านสามารถ “อนุรักษ์, สืบสานและพัฒนา” บรรดา “ของดีมีอยู่" อันเป็น “ภูมิบ้าน ภูมิเมือง ภูมิสังคม" ของเรา ยังสามารถรักษาความเป็นไทยไว้ได้ ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งครับว่า เราก็จะสามารถผ่านวิกฤติได้ครับ ดังนั้นจะก้าวไปข้างหน้าก็ก้าวไปเถอะครับ อยากจะทันสมัยใหม่เสมอก็เอากันเถอะครับ แต่อย่าลืมหนีบเอา “ของดีมีอยู่" ไปด้วยก็แล้วกันครับ 

 สำหรับชาวคนรักบ้านที่สนใจการสัมมนาในหัวข้อ “ฮอตแท็ป” (HOTAP) ไม่บานที่เบิกบาน เพื่อนำไปต่อยอดทางความคิดให้รู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงไปของโลก ท่านที่สนใจก็สามารถติดต่อสำรองจองที่นั่งได้โดยด่วน ที่เบอร์ 0-2245-1399 และ 0-2644-1478 ครับ นอกจากนั้น ทุกท่านที่ได้เข้าร่วมฟังการสัมมนาในครั้งนี้จะได้รับแจกวีซีดี อพาร์ตเมนต์ไม่บานชุดใหม่ล่าสุด ชุดที่ 11 ที่จะเปิดตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปีนี้ ที่มีชื่อว่า “รวมฮิต ฮอตแท็ป (HOTAP) ไม่บาน” มูลค่า 249 บาท ฟรีให้แก่ทุกท่านครับ

 พบกับสาระน่ารู้ของคอลัมน์ชาวคนรักบ้านกันได้ใหม่ในสัปดาห์หน้าครับ สวัสดีครับ