ไลฟ์สไตล์

แม่บ้าน-แม่เรือน

แม่บ้าน-แม่เรือน

06 ต.ค. 2553

ช่วงนี้คงไม่มีข่าวใดดังเกิน ข่าวดาราคลอดลูกไม่มีพ่อ ซึ่งก่อนหน้านี้คู่รักดาราหลายสิบคู่ต้องแยกทางเลิกรากันไป ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว วันนี้จึงอยากหยิบเรื่อง "แม่บ้าน-แม่เรือน" เพื่อมาเขียนเตือนสติคู่รักก่อนที่จะกลายเป็นคู่หย่าร้าง

 แม่เรือน เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้ว สตรีต้องทำหน้าที่แม่เรือน ได้แก่ เรือนสาม คือ เรือนผม เรือนร่าง และเรือนชาน

 เรือนสามนี้ มีข้อปฏิบัติย่อๆ คือ เรือนผมให้หมั่นสะสาง เรือนร่างแต่งให้สะสวย เรือนชานบริหารให้สะอาด ถ้าสตรีคนใดแต่งงานแล้วมิได้บริหารเรือนสามให้ดี สามีทั้งเบื่อทั้งบ่น ผลร้ายที่ตามมาก็คือ การมีภรรยาน้อย หรือการหย่าร้าง จึงต้องถือคติ สำหรับการบริหารเรือนผม เรือนร่างอย่างง่ายๆ ว่า

  “กลางคืนงามอย่างพระจันทร์ กลางวันเฉิดฉันอย่างพระอาทิตย์ จะพิชิตใจสามี" แล้วผู้หญิงไทยสักกี่คนที่ยึดถือคำโบราณ ส่วนใหญ่ผู้หญิงไทยมักจะ “ลืมเรือน และลืมเลือน” จึงพบสภาพ "กลางวันแต่งตัวเป็นนางฟ้า ส่วนกลางคืนทำตัวเหมือนปอบผีฟ้า” การแต่งเรือนสามจึงเป็น “เสน่หา"

 แม่แรง เมื่อแต่งงานแล้วสตรีต้องเป็นแม่แรงของสามี คือเป็นแรงใจทั้ง “แรงจูงใจ และแรงบันดาลใจ” แรงใจนั้นย่อมเกิดขึ้นได้เพราะ “น้ำสี่” โบราณจึงพูดว่า “เรือนสาม น้ำสี่” อันน้ำสี่นี้มีคำประพันธ์ที่ท่านสอนไว้แต่โบราณว่า…
 น้ำภักดิ์ จงรัก สัตย์ซื่อ
 น้ำแรง ร่วมมือ ทำกิจ
 น้ำคำ ฉ่ำหวาน สมานมิตร
 น้ำจิต เมตตา อารี

 สตรีใดที่หล่อเลี้ยงสามีด้วยน้ำ ๔ ประการ สามีก็ย่อมชื่นใจ ชื่นบาน มีแรงกายแรงใจที่จะทำงานเลี้ยงครอบครัวให้เจริญก้าวหน้า ดั่งต้นไม้ที่ดูดน้ำใต้พื้นดิน และอาบกินน้ำฝนจากฟากฟ้า

 แม่ครัว สตรีที่เมื่อแต่งงานแล้ว ต้องมีฝีมือในการปรุงอาหารเพื่อให้ “ลูกกินแล้วสุขภาพดี สามีกินแล้วอร่อย”  คือ การปรุงอาหารนั้นต้องคำนึงนึกถึงคนสองวัย “สามีกินแล้วเกิดเสน่หา ลูกกินแล้วเป็นยาบำรุงร่างกาย” เรียกตามคำโบราณว่า...เสน่ห์ปลายจวัก...

 สตรีทั้งหลาย ต้องสำนึกและสำเหนียกว่า ตัวเองเป็นหญิง ต้องเตรียมและทำตัวอย่าให้มัวหมอง โดยครองตัวตลอดชีวิต ดังนี้...
 สตรีต้องเคร่งครัด  สตรีต้องปฏิบัติธรรมะ
 สตรีต้องไม่ละธรรมเนียม  สตรีต้องรู้จักอายเหนียม
 สตรีต้องเจียมเนื้อเจียมตัว  สตรีต้องไม่ก้าวร้าว
 สตรีต้องไม่ห้าวเกินหน้าผัว  สตรีต้องมีฝีมือในการครัว
 สตรีต้องทำตัวให้คนเขาเมตตา เป็นสตรีพัฒนาฝืมือ

"พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ) "