
ลุยสองแปลงเกษตรอินทรีย์จาก"ไร่ดอกรัก"สู่"ไร่วิมานดิน"
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า กระแสการบริโภคผลผลิตทางการเกษตร ไม่ว่าจะพืชผัก ผลไม้ รวมถึงเนื้อสัตว์ปลอดสารพิษกำลังมาแรงมาก แม้ว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์จะมีราคาสูงกว่าสินค้าเกษตรทั่วไปถึง 30% ก็ตาม จึงทำให้หลายหน่วยงานต่างให้ความสำคัญกับเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากเป็นอี
และคงไม่เพียงแต่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการดูแลและส่งเสริมเกษตรกรโดยตรงเท่านั้น ที่กำลังรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ หากแต่กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งดูแลด้านการตลาดก็หันมาส่งเสริมและให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรอินทรีย์เช่นกัน
จะเห็นได้จากเมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงพาณิชย์ นำโดย พิมพาพรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวง ได้นำคณะสื่อมวลชนไปดูแปลงเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ 2 แห่ง ใน จ.กาญจนบุรี จุดแรกไปยัง ไทยออร์แกนิคฟาร์ม ของ กานต์ ฤทธิ์ขจร ที่ อ.บางแพ จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นไร่เกษตรอินทรีย์ เป็นที่รู้จักกันในนาม "ไร่ดอกรัก" เป็นแปลงเกษตรในรูปแบบของสวนผสมผสานในเนื้อที่ 60 ไร่ ซึ่งมีทั้งพืชผักและผลไม้กว่า 30 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าผักสดอินทรีย์ มีทั้งผักไทย จีน และผักจากตะวันตก ส่วนใหญ่เป็นผักสวนครัว รวมถึงการผลิตน้ำส้มสายชูข้าวหอมมะลิ น้ำพริกเผา ซอสมะเขือเทศ น้ำปลา น้ำจิ้มไก่ เป็นต้น
กานต์ บอกว่า เดิมทีเป็นคนที่สนใจเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพและต้องการเปลี่ยนวิถีชีวิตให้อิงกับธรรมชาติ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจในการเปิดร้านอาหารมังสวิรัติ “อโณทัย” ขึ้นมา โดยเลือกใช้วัตถุดิบเป็นผักออร์แกนิก ซึ่งหายากและมีราคาแพง จึงเกิดแนวคิดว่า น่าจะปลูกผักสดอินทรีย์ใช้เองในร้าน จึงพัฒนาพื้นที่นาร้าง 60 ไร่ ที่ อ.บางแพ ทำเป็นไร่เกษตรอินทรีย์ในลักษณะสวนผสมผสาน และตั้งชื่อว่า “ไร่ปลูกรัก” ปัจจุบันผลิตภัณฑ์จากไร่ปลูกรัก ติดแบรนด์ “ไร่ปลูกรัก” ซึ่งผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานไอโฟม (IFOAM : International Federation of Organic Agriculture Movements) และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป (EU REGULATION) รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทย (มกท.) ทำให้สามารถจำหน่ายได้ทั้งในและต่างประเทศ
ออกจากสวนไร่ดอกรัก มุ่งหน้าสู่ไร่วิมานดิน ซึ่งเป็นแปลงเกษตรอินทรีย์ ที่ ต.ห้วยเขย่ง อ.ทองผาภูมิ ของ พ.ต.ท.กฤชญาณ อภิกุลชา หรือ สารวัตรชาย มีเนื้อที่กว่า 80 ไร่ ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหนึ่ง เน้นการเกษตรแบบผสมผสานที่สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ โดยใช้ระบบการปลูกพืชแบบต่างระดับ เช่น ปลูกต้นสะตอ และต้นยางพารา เป็นพืชชั้นบน ปลูกพริกไทยและดีปลีเป็นพืชพันเกาะ ปลูกมังคุด มะเฟือง และเงาะเป็นพืชชั้นกลาง เฮลิโคเนีย (ไม้ดอกประดับสรวงสวรรค์) เป็นพืชชั้นล่าง ส่วนผักพื้นบ้าน เช่น ผักกูด สมุนไพร เช่น พลูคาว เป็นพืชคลุมดิน กระชายแดง กระชายเหลือง กระชายดำ ไพล และขมิ้นชัน เป็นพืชชั้นใต้ดิน นอกจากนี้มีการเลี้ยงโค ตามแนวทางปศุสัตว์อินทรีย์เพื่อใช้มูลมาทำปุ๋ยอินทรีย์
อีกส่วนหนึ่งเป็นบ้านพักในรูปแบบของฟาร์มสเตย์ ปัจจุบันมีบังกะโลพักได้ 2-3 คน ปลูกเป็นหลัง จำนวน 19 หลัง เรือนนอนอีก 1 หลัง นอนได้ 12 คน รวมแล้วสามารถรับนักท่องเที่ยวครั้งละราว 50 คน โดยผู้ที่จะเข้าพักจะคิดเป็นแพ็กเกจ คนละ 800 บาท มีโปรแกรมท่องเที่ยวมากมาย อาทิ เรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ ปลูกกล้วยสำหรับอาหารช้าง ชมโป่งช้าง อาบน้ำที่บ่อน้ำแร่ ล่องแก่งกับหวงยาง เป็นต้น
พ.ต.ท.กฤชญาณ บอกว่า เดิมทีบ้านไร่วิมานดินสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักผ่อนของคุณพ่อ ซึ่งเกษียณอายุราชการตำรวจ ต่อมา พ.ศ.2540 จึงเริ่มเกษตรอินทรีย์ โดยใช้ปุ๋ยที่ทำจากเศษพืช มูลสัตว์และยาฆ่าแมลงที่ทำจากสมุนไพรไล่แมลงหลากชนิดในพื้นที่ 80 ไร่ จนกระทั่งใน พ.ศ.2546 บ้านไร่วิมานดินได้รับตราผลิตภัณฑ์อินทรีย์ (Organic Thailand) จากกรมวิชาการเกษตรเป็นแปลงที่ 3 ของ จ.กาญจนบุรี และปัจจุบันไร่วิมานดินกลายเป็นศูนย์ส่งเสริมเกษตรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งใหญ่ใน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
ด้าน พิมพาพรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ยังคงแผ่ขยายความนิยมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2553 มูลค่าตลาดรวมสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงถึง 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวร้อยละ 20 จากปี 2552 ขณะที่ราคาจำหน่ายซึ่งสูงกว่าสินค้าเกษตรทั่วไปเกือบร้อยละ 30 จุดนี้ทำให้บรรดาประเทศเกษตรกรรมทั้งหลายต่างเร่งหามาตรการเพื่อช่วงชิงโอกาสทางการค้าและรองรับภาวะการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น
ด้วยเหตุนี้กระทรวงพาณิชย์จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ “การสร้างภูมิคุ้มกันด้านการค้าจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวิกฤติภาวะโลกร้อน” ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ยุทธศาสตร์การค้าไทย เพื่อส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเร่งดำเนินการจัดหาตลาดใหม่ๆ ไปยังประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ซึ่งมีความต้องการสินค้าที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านกระบวนการผลิต สถานที่และขั้นตอนการจัดเก็บ บรรจุภัณฑ์ ระบบประกันคุณภาพ ระบบโลจิสติกส์ และระยะทางการขนส่ง หรือ Food Miles ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและส่งเสริมการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ของคนไทยให้มากขึ้น
สำหรับในปี 2554 กระทรวงพาณิชย์วางเป้าหมายในการดำเนินงานส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าเกษตรอินทรีย์ของภูมิภาคอาเซียน โดยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเปิดเสรีการค้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในการเจรจาความร่วมมือกับ ส.ป.ป.ลาว เวียดนาม เพื่อรวบรวมแหล่งวัตถุดิบและสร้างอำนาจต่อรองทางการค้า ตลอดจนส่งเสริมการผลิตและพัฒนาสินค้าตามความต้องการของตลาด อาทิ ข้าว เมล็ดธัญพืชที่ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเช้า หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดฝักอ่อน กุ้ง น้ำมะพร้าว น้ำกะทิ และผลักดันให้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ เช่น อาหารพร้อมรับประทาน สำลี ผ้าฝ้ายเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น
เกษตรอินทรีย์ ก็เป็นอีกหนึ่งเลือกของเกษตรกร เนื่องจากปัจจุบันประชาคมโลกต่างให้ความสนใจด้านสุขภาพมากขึ้นและนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย



