ไลฟ์สไตล์

คันฉ่องและโคมฉาย - ผู้นำกับธรรมะ (๑๑) 
ผู้บริหารคือทาสที่แท้ ?

คันฉ่องและโคมฉาย - ผู้นำกับธรรมะ (๑๑) ผู้บริหารคือทาสที่แท้ ?

23 ก.ย. 2553

ในประวัติศาสตร์ก็มีผู้บริหารที่ใช้อำนาจเปลืองมากๆ อยู่หลายคน ขอยกสักตัวอย่างหนึ่ง อุปราชของจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือฉินซีฮ่องเต้ คือขันทีจ้าวเกาเกา ซึ่งอยู่ใกล้ชิดจิ๋นซีฮ่องเต้มาก ซ่อนความทะเยอทะยานทางการเมืองของตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิด ทำตัวเป็นเพียงขันทีคนหนึ่ง

  ต่อมาเขาปฏิวัติท่านหลี่ซือ ซึ่งเป็นคนคิดประมวลอักษรจีนที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ คนคนนี้เป็นกุนซือสมองเพชรของจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่สุดท้ายก็ถูกขันทีคนนี้ปฏิวัติ แล้วก็ประหาร โอรสองค์โตของจิ๋นซีฮองเต้ก็ถูกพระบรมราชองค์การปลอมแล้วก็สั่งประหาร ขันทีคนนี้เป็นผู้สำเร็จราชการหนึ่งเดียวแล้วก็มีฮ่องเต้เด็กเป็นหุ่นเชิด วันหนึ่งขันทีจ้าวเกาเกาผู้สำเร็จราชการอยากรู้ว่าตัวเองมีอำนาจมากแค่ไหน ในอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่จักรพรรดิจิ๋นซียึดมาได้ ในขณะที่ประชุมอยู่ในท้องพระโรง จ้าวเกาให้คนจูงกวางเข้ามาตัวหนึ่ง แล้วถวายแด่ ฉินเอ้อซื่อฮ่องเต้ ฉินเอ้อซื่อฮ่องเต้ถึงแม้จะโฉดเขลาเบาปัญญา แต่คงไม่เบาปัญญากระทั่งแยกแยะม้ากับกวางไม่ออก จึงได้รับสั่งกับจ้าวเกาว่า ท่านเสนาบดีเลอะเลือนไปแล้วกระมัง เห็นกวางกลายเป็นม้า แต่จ้าวเกากลับยืนกรานบอกว่าเป็นม้า แล้วหันไปถามพวกขุนนางว่า ท่านทั้งหลาย ท่านคิดว่านี่เป็นม้าหรือกวางและม้าตัวนี้มีลักษณะอย่างไร ถูกต้องตามตำราไหม ช่วยกันดูหน่อยสิ

 เหล่าเสนาบดีและขุนนางทั้งหลายพากันเกรงกลัวอิทธิพลจ้าวเกา จึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น ม้า  บ้างก็ว่า ท่านผู้สำเร็จราชการครับ ไม่มีม้าตัวไหนงามไปกว่าตัวนี้แล้วครับ ต้องไม่ลืมว่าแท้ที่จริงมันคือกวาง กวางยืนอยู่ที่ท้องพระโรง คนต่อไปก็บอกว่านี้ต้องเป็นม้าที่ส่งมาสำหรับท่านผู้สำเร็จราชการโดยเฉพาะ สมแล้วครับกับเดชะบารมีของท่านที่จะได้ม้านี้ไว้ขี่อย่างนี้สักตัวหนึ่ง ผู้คนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดเลย แกก็เลยดีอกดีใจสั่งปิดประชุม รู้ว่าตัวเองมีอำนาจมากแค่ไหน พอรู้ว่าตัวเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หลังจากนั้นสิ่งที่ตามมาคือใช้อำนาจตามอำเภอใจ

 หลังจากนั้นจ้าวเกาก็อ้างว่าฉินเอ้อซื่อฮ่องเต้ประชวรด้วยโรคประสาท จึงสั่งให้เอี๋ยนเล่อไปบีบให้พระองค์สละราชสมบัติ จ้าวเกาจึงคิดจะตั้งหลายชายของฉินเอ้อซื่อเป็นฮ่องเต้แทน เพราะตนไม่กล้าตั้งตนเอง หลายชายฉินเอ้อซื่อฮ่องเต้นามว่าจื่ออิง แต่จื่ออิงได้ล่อลวงจ้าวเกาเข้าวังแล้วลงมือฆ่าทิ้งพร้อมกับประหารเครือญาติอีกสามชั่วโคตรและจากนั้นหลิวปังยกทัพบุกตีเข้านครเสียนหยาง

 ประชาชนที่เดือดร้อน พากันลุกฮือ สุดท้ายก็มีการล้มราชบัลลังก์ของจิ๋นซีฮ่องเต้ อุตส่าห์สู้มาทั้งชีวิต แต่ราชวงศ์มีอายุแค่ ๑๕ ปี น่าเสียดายไหมกว่าจะรวมรัฐ ๗ รัฐได้ แต่มีอายุยืนแค่ ๑๕ ปี นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก เพราะ ผู้บริหารไม่มีธรรมะในการใช้อำนาจ

 หลุมดำประการที่ ๔ คือ กามารมณ์ คือสิ่งที่ดี สิ่งที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจทั้งหลาย ที่มาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
 ตา ต้องการรูปสวยๆ ลูกน้องก็จะหาอะไรสวยๆ มาให้เจ้านายดู
 หู อยากฟังเสียงเพราะๆ ลูกน้องที่ฉลาดก็จะหาเพลงบรรเลงเพราะๆ มาให้เจ้านายฟัง
 จมูก ลูกน้องที่ไปประชุมต่างประเทศก็จะไปซื้อน้ำหอมมาให้ เจ้านายก็เคลิ้มไป

 ลิ้น ลูกน้องที่อยากจะประจบก็พาเจ้านายไปทานอาหารอร่อยๆ ในโรงแรมหรูๆ โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรสักบาท ลูกน้องจัดให้

 กาย  ลูกน้องก็จะไปหาพริ้ตตี้น่ารักๆ ทั้งที่จริงก็แก่แล้ว แต่พอนำมาเสนอเจ้านายก็ให้ใส่ชุดนักศึกษา เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชน เจ้านายก็ปลื้มลูกน้อง

  ใจ เมื่อต้องการอะไร  มักมีแต่คนคอยเอาอกเอาใจ ลูกน้องก็จะไม่ขัดใจเจ้า นายอย่างเด็ดขาดประเภทที่ชอบพูดว่า ดีครับนาย สบายครับท่าน รับประกันครับผม หรือวันดีคืนดี ก็บอกเจ้านายว่า นายครับเมื่อวานผมเห็นแสงออกจากตัวเจ้านาย นายก็เคลิ้มคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีบุญ เห็นไหม คุณนำประการที่ ๔ คือกามารมณ์ สิ่งดีงามทั้งหลายที่คนใกล้ชิดเรานำมาหว่านล้อมเรา ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเรารับก็เหมือนปลาที่ไปงับเหยื่อแล้วติดกับ หลังจากนั้นเราก็จะไม่ใช่ผู้บริหารอีกต่อไป เราเป็นทาสแล้ว ถ้าลูกน้องไปหาหญิงงามมาให้ ผู้บริหารรับสินบนจากลูกน้อง จากนั้นเป็นต้นไป นกต่อคนนั้นก็จะมีอำนาจเหนือผู้บริหาร นายครับ...เดี๋ยวผมหาให้อีกครับ ทีนี้ดีกว่าเมื่อวานอีกครับ ทีนี้เขาก็สั่งนายได้เลย เขาถึงบอกว่าที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่คือรัฐมนโท ผู้บริหารก็ไม่ใช่น่ากลัวหรอก แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือเลขาฯ

"ว.วชิรเมธี"