
พศ.-DSIสอบพระปราโมทย์หลังถูกโยมร้องเรียน
ผอ.สำนักพุทธฯ สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง "พระปราโมทย์" เรื่องเงินร้อยล้าน ชี้โจทก์อื้อทยอยร้องเรียน ระบุผิดจริงโทษอาญา ส่วนทางธรรมต้องให้คณะสงฆ์พิจารณา ด้าน "ดีเอสไอ" ส่งเจ้าหน้าที่สอบ หากมีมูลชงเป็นคดีพิเศษ ขณะที่สวนสันติธรรมปิดเงียบ
จากกรณีที่ตัวแทนชาวพุทธ รวมตัวกันเข้าร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ตรวจสอบ "พระปราโมทย์ ปาโมชโช" เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ว่ามีพฤติการณ์ยักย้ายถ่ายเทเงินบริจาคซื้อที่ดินสำนักสงฆ์ 100 ล้านบาท เข้าบัญชีอดีตภรรยา ที่บวชชีอยู่สำนักสวนสันติธรรมนั้น
เมื่อวันที่ 14 กันยายน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่า ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย เบื้องต้นได้ส่งเจ้าหน้าที่ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนาไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว ว่ามีการฉ้อโกง หรือนำเงินบริจาคไปให้แก่คนใกล้ชิดจริงหรือไม่ พร้อมกับประสานไปยังเจ้าคณะผู้ปกครองพระปราโมทย์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ให้ช่วยตรวจสอบอีกทาง แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบคำตอบเพราะข้อมูลมีอยู่เป็นจำนวนมาก กรณีดังกล่าวมีโจทก์จำนวนมากทยอยร้องว่าถูกหลอกเงินโดยต่างยืนยันว่าถูกพระปราโมทย์หลอก
"หากท้ายที่สุดแล้วพระปราโมทย์กระทำผิดจริง ถือว่าทำผิดกฎหมายอาญา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินการตามกฎหมายทางโลกได้เลย ส่วนทางธรรมนั้น คณะสงฆ์ท่านจะดูว่าผิดทางไหน แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าผิดกฎหมายทางโลกก็จะให้ทางโลกจัดการ" ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกล่าว
นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ กล่าวว่า กลุ่มที่ไปร้องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นั้นเคยมายื่นเรื่องที่สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ แล้ว ซึ่งขณะนั้นทางกลุ่มผู้ร้องแจ้งเพียงให้ทราบถึงพฤติการณ์ของพระปราโมทย์ แต่ยังไม่ได้แจ้งให้ต้องมีการดำเนินการใดๆ เพราะหลักฐานยังไม่ครบ ซึ่งเชื่อว่าขณะนี้มีหลักฐานครบแล้วจึงมีการเข้าแจ้งความต่อดีเอสไอ และหากยื่นเรื่องมาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ก็พร้อมที่จะช่วยดำเนินการให้
ทั้งนี้จากพฤติการณ์ของพระปราโมทย์ ที่มีการโอนทรัพย์สินให้เป็นชื่ออดีตภรรยาที่เป็นแม่ชีอยู่ที่สวนสันติธรรมด้วยกันนั้น ต้องดูว่าผิดวัตถุประสงค์ของผู้ที่บริจาคหรือไม่ เพราะถ้าผิดวัตถุประสงค์ก็ถือว่าพระปราโมทย์มีความผิด สามารถฟ้องศาลขอความเป็นธรรมได้ ส่วนเรื่องความผิดทางวินัยนั้นจะต้องให้เจ้าคณะผู้ปกครองเป็นผู้พิจารณาว่าจะต้องมีโทษสถานใด
ด้าน น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง นักเขียนชื่อดัง กล่าวกับ "คม ชัด ลึก" ถึงเหตุที่ออกมาฟ้องร้องพระปราโมทย์นั้น มาจากการที่ถูกให้ออกจากการเป็นคณะกรรมการของสวนสันติธรรมเมื่อ 5 ปีก่อนหรือไม่ ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของกฎหมาย พูดอะไรมากไม่ได้ แต่ก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เหตุสำคัญที่ทำให้ต้องออกมาประกาศต่อสาธารณชน และฟ้องร้องตามกฎหมาย เพราะที่ผ่านมา พระปราโมทย์กล่าวความเท็จเกี่ยวกับตนมาตลอด แต่ก็วางเฉย แต่ว่าความเท็จนั้นยังกระทบไปถึงบุตรชายในโรงเรียนด้วย จึงต้องออกมาใช้สิทธิตามกฎหมายปกป้องตนเองและลูกตามที่ร้องเรียนมา
ขณะที่นายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะตัวแทนพุทธศาสนิกชนผู้เสียหายที่เข้าร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบการรับเงินบริจาคของพระปราโมทย์ กล่าวว่า ต้องการให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว โดยเฉพาะบัญชีธนาคาร 2 บัญชี ที่เปิดในชื่อของนางอรนุช สันตยากร รวมทั้งการนำเงินที่ได้จากการบริจาคไปซื้อที่ดินหลายแปลงแล้วโอนโฉนดเป็นชื่อของนางอรนุช ภรรยาที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับพระปราโมทย์ ซึ่งในกรณีนี้หากนางอรนุช บวชแม่ชี ก็จะไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ และต้องขึ้นทะเบียนเป็นแม่ชีด้วย แต่เท่าที่สังเกตเห็นนางอรนุชโกนศีรษะ แต่งกายด้วยการใส่เสื้อสีขาว และสวมกางเกงสีดำ น่าจะเป็นอุบาสิกามากกว่า
นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางสวนสันติธรรมแจ้งให้ลูกศิษย์ทราบว่า ในแต่ละปีมีเงินหมุนเวียนในสวนสันติธรรมเพียง 3-4 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงมีเงินบริจาคเข้ามาเดือนละหลายล้านบาท ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบ เพราะพุทธศาสนิกชนที่เป็นลูกศิษย์ของพระปราโมทย์ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลชื่อดัง และมีชื่อเสียงในวงสังคม เป็นทั้งระดับปัญญาชน กลุ่มไฮโซ และนักการเมืองท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก จึงอยากให้ดีเอสไอรับไว้เป็นคดีพิเศษ เพื่อจะได้เข้าไปตรวจสอบและยุติปัญหาที่เกิดขึ้น
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหนังสือร้องเรียนดังกล่าว โดยเบื้องต้นต้องตรวจสอบก่อนว่าข้อร้องเรียนมีมูลหรือไม่ เนื่องจากแม้กรณีดังกล่าวจะมีมูลค่าความเสียหายสูงถึงหลักร้อยล้านบาท แต่เพื่อความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา จึงจำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงให้รอบด้าน หากมีมูลความผิดจึงจะเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) รับเป็นคดีพิเศษต่อไป
พ.ต.อ.ณรัชต์กล่าวว่า หลังจากตรวจสอบรายละเอียดคำร้องที่นายเทิดศักดิ์ยื่นเรื่องมายังดีเอสไอแล้ว ก็จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบที่สำนักสวนสันติธรรม ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะเรื่องดังกล่าวค่อนข้างละเอียดอ่อนจึงไม่ควรด่วนสรุป เพราะหากไม่มีมูลความจริงจะทำให้พระปราโมทย์เสียหาย และส่งผลต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้รับการประสานงานจากลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดพระปราโมทย์ ว่าพร้อมที่จะชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในศาล
ส่วนความเคลื่อนไหวที่สำนักสวนสันติธรรมนั้น เมื่อเวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าไปที่สวนสันติธรรม แต่ปรากฏว่า สวนสันติธรรมปิดประตู และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้า โดยมีป้ายหน้าประตูว่า "ปิด" เป็นอักษรตัวใหญ่สีน้ำเงิน และมีอักษรตัวเล็กๆ ด้านล่าง เขียนว่า "สถานที่ส่วนบุคคล งดรับแขกนอกเวลา และในวันปิดศูนย์" พร้อมกับมีป้ายใหญ่อยู่ใกล้เคียง มีข้อความว่า "สวนสันติธรรม ศูนย์ศึกษาปฏิบัติธรรม สาขาวัดบูรพาราม พระอารามหลวง จังหวัดสุรินทร์ 332/1 หมู่ 6 บ้านโค้งดารา ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20110 เปิดเวลา 07.00-10.00 น. วันเปิดเดือนกันยายน วันที่ 3-5, 10-12, 16-18, 24-25, 03 สถานที่ส่วนบุคคล งดรับแขกนอกเวลาและในวันปิดศูนย์"
จากการสังเกตพบว่า สวนสันติธรรมส่วนมากจะเปิดในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ หรือพฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ และจะไม่ตรงกับวันพระ นอกจากนี้ยังมีป้ายหน้าประตู มีข้อความว่า อนุญาตให้เข้ามาในสวนสันติธรรมได้เฉพาะผู้มาศึกษาปฏิบัติธรรมเท่านั้น และมีสัญลักษณ์ห้ามถ่ายรูป ห้ามถ่ายวิดีโอ และปิดมือถือ ตรงปากทางเข้าอีกด้วย ส่วนด้านข้างติดกัน พบว่ามีบ้านพักชั้นเดียว มีป้ายติดหน้าบ้านว่า บ้านอนาลโย 332/2 ซึ่งเป็นบ้านปูนสีขาว ชั้นเดียว ยกสูงเล็กน้อย และยังมีบ้านพัก ซึ่งน่าจะเป็นของคนงานต่างด้าวที่มีอยู่หลายคน
จากการสำรวจภายนอก พบว่าสวนสันติธรรมมีเนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ มีกำแพงสูงทึบรอบพื้นที่ อาณาบริเวณส่วนรอบๆ จะเป็นป่ามันสำปะหลัง ภายในมีคนสวนคอยดูแลจำนวนหนึ่ง และมีบ้านพักภายในสวนสันติธรรม กระทั่งเมื่อคนงานเห็นมีบุคคลแปลกหน้ามาที่หน้าสวนสันติธรรม ก็เดินมาแอบถ่ายรูป ผู้สื่อข่าวจึงได้สอบถามและขออนุญาตเข้าไปพบพระปราโมทย์ แต่คนงานซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวไม่ยินยอม บอกว่า พระปราโมทย์ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปข้างในสวนสันติธรรม แต่สามารถเข้าไปได้ในวันเปิดทำการตามที่ได้แจ้งไว้ที่ป้ายด้านหน้า
ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า พระปราโมทย์อยู่หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าอยู่ด้านในและไม่รับแขก ส่วนแม่ชีที่เป็นข่าวก็อยู่ด้านในสวนสันติธรรมด้วยเช่นกัน โดยภายในสวนสันติธรรมมีพระสงฆ์ 5 รูป แม่ชี 3 คน และแรงงานต่างด้าวที่ดูแลสวน และปัดกวาด 7 คน ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่ามีหน้าที่ดูแลสวนเพียงอย่างเดียว และไม่เชื่อตามที่เป็นข่าว
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวจึงไปสอบถามนายใบ โคตะยา อายุ 65 ปี ชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง นายใบกล่าวว่า ไม่ค่อยรู้เรื่องและไม่ค่อยจะทราบว่าชาวบ้านเขาศรัทธาพระปราโมทย์หรือไม่ เพราะไม่เคยเข้าไปในสวนสันติธรรมแห่งนั้น แต่เห็นว่ามีแต่คนมีฐานะดี มักขับรถเก๋งราคาแพงๆ และมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้ามาหาที่สวนนี้จำนวนมากในช่วงที่สวนสันติธรรมมีงาน แต่สวนแห่งนี้ก็จะเปิดเป็นบางวันเท่านั้น มีคนมาเยอะ มีแต่คนมีระดับทั้งนั้น คิดว่าถ้าไม่มีระดับ หรือไม่มีเงิน ทางสวนก็คงไม่ต้อนรับ
ตอนแรกๆ ที่สวนแห่งนี้ก่อสร้างเสร็จใหม่ๆ เคยมีคณะกรรมการของวัดเอาแผ่นซีดีของพระปราโมทย์มาให้ เมื่อเปิดฟังแล้วก็เหมือนกับคนคุยกัน ถามมาตอบไป เหมือนจะเทศน์ก็ไม่ใช่ พอฟังแล้วไม่ชอบก็เลยทิ้งไป ความจริงแล้ววัดจะต้องมีโบสถ์ มีที่ทำสังฆกรรม อย่างทอดกฐิน ก็ต้องทำในโบสถ์ถึงจะถูกต้อง แต่ที่นี่ทำกันที่ศาลาปฏิบัติธรรม ท่านมีเงิน มีรถ มีคนมารับมาส่งเวลาเดินทางเข้าออก ส่วนเรื่องที่เป็นข่าว ไม่รู้ เพราะไม่เคยเข้าไปในสวนสันติธรรมนี้เลย
น.ส.สุพิชญา เจริญนาน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี กล่าวถึงกรณีกระแสข่าว “พระปราโมทย์” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม ถูกกล่าวหาว่าไม่โปร่งใสเกี่ยวกับเงินบริจาค 100 ล้านบาทจากประชาชนและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาว่า เรื่องนี้ชาวบ้านเพิ่งทราบข่าวจากทีวี และหนังสือพิมพ์เท่านั้น ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงก็ไม่เคยเข้าร่วมพิธีที่ทางสำนักสวนสันติธรรมจัดขึ้น เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ไปร่วมในพิธีหรือพบปะกับพระปราโมทย์ จะเป็นคนต่างจังหวัด ซึ่งแต่ละคนจะมีฐานะ และบริจาคเงินจำนวนมาก โดยคนในพื้นที่จะไปทำบุญที่วัดโค้งดารา ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน และเป็นวัดเก่าแก่
ส่วนสำนักสวนสันติธรรมเพิ่งก่อตั้งได้เพียง 4-5 ปีเท่านั้น และตามปกติทางสวนสันติธรรมไม่ได้เปิดให้ประชาชนหรือผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาเข้าไปภายในสวนสันติธรรมได้ตลอดเวลา โดยจะมีระยะเวลาในการปิด-เปิด และผู้ที่จะเดินทางไปนั้นจะต้องตรวจสอบกำหนดการก่อน ซึ่งไม่เหมือนวัดทั่วไป นอกจากนั้นยังมีรั้วสูงล้อมรอบสวนสันติธรรมด้วย ยิ่งทำให้ประชาชนในพื้นที่แปลกใจที่วัดกระทำเช่นนี้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว วัดหรือสำนักสงฆ์ ไม่ควรจะมีเวลาปิด-เปิด หรือมีรั้วล้อมรอบอย่างมิดชิด ตนเป็นผู้ใหญ่บ้านดูแลพื้นที่ดังกล่าว ยังไม่เคยเข้าไปที่สวนสันติธรรมแห่งนี้เลย



