
พลิกวงการส่งเสริมปลูกยางพาราพื้นที่ใหม่8แสนไร่ ให้ไร่ละ .1 หมื่น
ในที่สุดดูเหมือนว่า โครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราพื้นที่ใหม่ ระยะ 3 เป้าหมายพื้นที่ 8 แสนไร่ที่รัฐบาลมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมานั้น มีเค้าที่จะต้องเปลี่ยนรูปแบบของการสนับสนุนจากร่างเดิม
แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบที่เอื้อต่อเกษตรกรที่ดีกว่า จากเดิมสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) จะสนับสนุนเงินทุนในการปลูกไร่ละ 3,500 บาท และต้องใช้งบประมาณทั้งโครงการกว่า 3,900 ล้านบาท และ สกย. จะเป็นผู้ดูแลให้ 3 ปีนั้น มาเป็นการส่งเสริมด้านเงินทุนไร่ละ 1.1 หมื่นบาท และจะดูแลให้ถึง 7 ปีจนกว่าจะกรีดได้ แต่รัฐบาลต้องหาเงินกู้ถึง 8,000 ล้านบาท
ทั้ง เป็นการยืนยันของ นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง “ยางใหม่ 8 แสนไร่...เพื่อใคร?” จัดโดยสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทยร่วมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ก่อนหน้านี้ว่า โครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราพื้นที่ใหม่ ระยะ 3 เป้าหมายพื้นที่ 8 แสนไร่นั้น ล่าสุด ได้มีการหารือนอกรอบกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างเห็นว่ารัฐบาลควรหางบฯ เพิ่มเติม และ สกย.ดูแลตลอด 7 ปีจนกว่าจะกรีดได้ เพราะเห็นว่า เกษตรกรแต่ละรายมีฐานะยากจน หากเกิน 3 ปีแล้ว เกรงว่าเกษตรจะไม่มีเงินในการดูแลสวนยาง
ดังนั้นจึงมีการสรุปได้ว่า ทางรัฐบาลจะหาเงินกู้จำนวนกว่า 8,000 ล้านบาท ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นผู้จัดสรรให้ทาง สกย. เพื่อเพิ่มให้แก่เกษตรกรที่ร่วมโครงการ จากเดิมที่เราจะให้ทุนไร่ละ 3,500 บาท/ไร่ เป็น 11,000 บาท/ไร่ โดยที่รัฐบาลจะได้เงินคืนจากเก็บภาษีสงเคราะห์จากผู้ส่งออก หรือเงินเซสส์ (cess) ซึ่งคณะรัฐมนตรีกำหนดอัตราเงินเซสส์จากผู้ส่งออก กรณียางพาราราคาเกิน กก.ละ 40 บาท แต่ไม่เกิน 60 บาทจะเก็บเงินเซสส์ กก.ละ 1.40 บาท ถ้าเกิน กก.ละ 60 บาท แต่ไม่เกิน 80 บาท เก็บในอัตรา กก.ละ 2 บาท เกิน กก.ละ 80 บาท แต่ไม่เกิน 100 บาท เก็บในอัตรา กก.ละ 3 บาท หากเกิน กก.ละ 100 บาท จะเก็บค่าเซสส์ กก.ละ 5 บาท” นายศุภชัยกล่าว
ส่วนที่โครงการนี้หลายฝ่ายวิตกว่าจะเอื้อประโยชน์แก่นายทุนและนักการเมืองที่จะมีนอร์มินีรับผลประโยชน์ ขอยืนยันว่า จะไม่มีอย่างเด็ดขาด และไม่ต้องกังวลว่า โครงการนี้จะกระทบราคายางพาราในอนาคต ต่อให้เกษตรกรปลูกเพิ่มอีก 2 ล้านไร่ ก็ไม่มีปัญหา แต่ที่น่าห่วงคือ เมื่อยางพาราที่ปลูกในโครงการขยายพื้นที่ปลูกยางพารา 1 ล้านไร่กรีดได้หมด ทำให้แรงงานอีสานที่ไปกรีดยางในภาคใต้เริ่มกลับสู่ถิ่น และหากโครงการ 8 แสนไร่กรีดได้ แรงงานอีสานต้องกลับมากรีดยางในพื้นที่อีก ถึงเวลานั้นทางภาคใต้จะมีปัญหาวิกฤติแรงงานกรีดยางพาราอย่างแน่นอน
สอดคล้องกับ นายวรเทพ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรับเบอร์ ลาเท็ก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการประเมินราคายางพาราในอนาคต แม้จะมีโครงการปลูกยางพาราในพื้นที่ปลูกใหม่ 8 แสนไร่ เชื่อว่าจะไม่กระทบด้านราคา เนื่องจากมีปัจจัย 4 ประการคือ ประชากรโลกเพิ่มขึ้นถึงปีละ 4% ซึ่งประชากร 1 คน จะใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพาราคนละ 3 กก./ปี อีก 10 ปีข้างหน้า ประเมินว่าจะประชากรโลกจะเพิ่ม 9,000 ล้านคน นั่นหมายถึงว่าปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาล
ประที่สอง ประเมินว่าอีก 50 ปีน้ำมันเชื่อเพลิงคงจะหมดไป ฉะนั้นราคาน้ามันจะไม่มีวันลดลง ปราบใดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงราคาสูง ราคายางสังเคราะห์ก็สูงตามด้วย และส่งผลให้ราคายางธรรมชาติสูงตามเช่นกัน,ประการที่สาม พื้นที่ปลูกยางพาราได้นั้นมีจำกัด คือปลูกได้เฉพาะในเอเชียถึง 90% ที่เหลือจะเป็นแอฟริกาและลาตินอเมริกัน ขณะเดียวกันในอนาคตเชื่อว่า พื้นที่การเกษตรบางส่วนต้องใช้อย่างอื่น สร้างที่อยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม และสถานบริการอื่นๆ ทำให้พื้นที่การปลูกยางพาราน้อยลง แต่ความต้องการขยายขึ้น และประการสุดท้ายเป็นปัจจัยด้านราคา ปัจจุบันยางพารามีราคาสูงเกินจริงคือกก.ละกว่า 100 บาท ทั้งที่ต้นทุนการผลิตที่ กก.ละ 40 บาท ฉะนั้นหากยางพาราปรับลดลงกก.ละ 30 บาท เหลือ กก.ละ 70 บาท เกษตรกรก็อยู่ได้
ด้าน นายขุนศรี ทองย้อย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธุรกิจยางพารา กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ปัจจุบันความต้องการยางพาราในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในจีน และอินเดีย ตลอดจนความผันผวนของราคาน้ำมันดิบทำให้ความต้องการใช้ยางธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์เพิ่มสูงตามไปด้วย เบื้องต้นองค์การศึกษาเรื่องยางระหว่างประเทศ หรือไออาร์เอสจี( IRSG) วิเคราะห์ว่าตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไปจะเริ่มเกิดปัญหาการขาดแคลนยางธรรมชาติ จะทำให้ราคายางธรรมชาติจะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
"ในปี 2553 ทั่วโลกจะมีความต้องการใช้ยางธรรมชาติ 10.50 ล้านตัน ขณะที่ปริมาณการผลิตจะอยู่ที่ 10.42 ล้านตัน คาดว่าในปี 2563 ความต้องการใช้ยางธรรมชาติ 14.35 ล้านตัน ขณะที่ปริมาณการผลิตจะอยู่ที่ 12.40 ล้านตันเท่านั้น ไม่สมดุลกัน ถือเป็นเรื่องดีที่จะให้ราคายางพาราสูงขึ้น ฉะนั้นโครงการปลูกยางในพื้นที่ใหม่ 8 แสนไร่ นอกจากจะทำให้เกษตรกรจำนวนมากมีรายได้ที่มั่นคง ยังจะสร้างความมั่นคงให้ประเทศไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย" นายขุนศรี กล่าว
ส่วน นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันเกษตรกรชาวสวนยางที่สามารถเปิดกรีดได้แล้ว เริ่มมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากราคายางในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 100 บาท และเชื่อมั่นว่า แม้จะมีการขยายพื้นที่ปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นก็จะไม่ส่งผลให้ราคายางพาราปรับตัวลดลง เบื้องต้นการขยายพื้นที่ปลูกยางใหม่ของรัฐจะเป็นโอกาสของประเทศไทย รวมทั้งเป็นการกระจายโอกาส และสร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรไทยต่อไป
ขณะที่ นายวิทย์ ประทักษ์ใจ ผู้อำนวยการ สกย.กล่าวว่า การที่ สกย.ผลักดันโครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราพื้นที่ใหม่ 8 แสนไร่นั้น เพราะมองว่า ยางพาราเป็นพืชมหัศจรรย์ตัวจริง ในภาคการเกษตรไม่มีพืชชนิดใดที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยต่อที่สูงได้เท่ากับยางพารา ทาง สกย.จึงร่างโครงการนี้มา เพื่อเป็นการส่งเสริมและยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรที่ร่วมโครงการดีขึ้น แต่ผู้ที่จะร่วมโครงการควรรวมกลุ่ม เพื่อประโยชน์ของเกษตรเอง แต่เกษตรกรที่จะร่วมโครงการต้องใช้กล้าพันธุ์ยางที่กรมวิชการเกษตรรับรองเท่านั้น
นายสุจินต์ แม้นเหมือน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ที่ผ่านมากล้ายางที่กรมวิชาการเกษตรรับรองมีพันธุ์ อาร์อาร์ไอเอ็ม 600 มีมากที่สุดถึง 80% เป็นพันธุ์ยางที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกมาตั้งแต่ปี 2521ให้ผลผลิตตกไร่ละ 2.80 กก.ไร่ ปัจจุบันมีกล้าพันธุ์ สวย.251 หรืออาร์อาร์ไอที 251 ให้ผลผลิตดีกว่าคือไร่ละ 4.62 กก.แต่กล้าพันธุ์ยังมีน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ ปีหน้าอาจมีข่าวมีพันธุ์ใหม่ สวย.281 ตอนนี้รอดูก่อนยังไม่เผยรายละเอียดจนกว่าจะชัดเจนกว่านี้
การผลิกรูปแบบให้การส่งเสริมโครงการปลูกยางพาราในพื้นที่ใหม่ 8 ไร่ของรัฐบาล นับเป็นประวัติการของวงการส่งการปลุกยางพาราของไทยซึ่งอดีตทาง สกย.จะให้ทุนเฉพาะที่โค่นยางเก่าเพื่อปลูกยางใหม่เท่านั้น แต่ทั้งนี้ทางรัฐบาลและ สกย.ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสด้วย เกษตรกรจึงจะรับประโยชน์สุงสุดอย่างแม้จริง