
พระดี ไม่ขี้ขอ
ในพระไตรปิฎก ได้กำหนดพระวินัยไว้ว่า พระภิกษุนั้นไม่อาจเอ่ยปากขอสิ่งใดจากผู้มิใช่ญาติ และผู้ไม่ปวารณา กล่าวคือ มีสิทธิ์ขอได้เฉพาะแก่ผู้เป็นญาติ บนสาม-ล่างสาม ได้แก่ บิดา มารดา ปู่ย่า ตา ยาย ทวด ถือเป็นญาติข้างบนสามอันดับ และลูก หลาน เหลน ถือว่าเป็นญาติข
จากประสบการณ์ในชีวิตนักบวชเกือบสามทศวรรษ พบว่า ถ้าพระภิกษุรูปใดไม่สังวรเรื่องการเอ่ยปากขอ ไปจนถึงการเรี่ยไรในลักษณะต่างๆ มักจะไม่ค่อยมีลาภพอเพียงแก่การใช้ และฉัน ดูจะมีเรื่องฝืดเคืองยากเข็ญให้เห็นอยู่เสมอ
ในทางตรงกันข้าม หากภิกษุรูปใดรักษาพระธรรมวินัยไว้อย่างแน่วแน่ และหนักแน่น ไม่เอ่ยปากขอหรือเรี่ยไรสิ่งใดจากผู้มิใช่ญาติ และผู้ไม่ปวารณา ภิกษุรูปนั้นมักจะมีเหลือเฟือในลาภอันควรได้ ในทำนองว่า “ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้-ยิ่งไม่อยากได้ ยิ่งได้”
ชีวิตของพระภิกษุนั้น เนื่องด้วยผู้อื่น บางคนแปลคำภิกษุว่า “ผู้ขอ” ซึ่งยังไม่สมบูรณ์นัก ที่ถูกน่าจะพูดว่า “ภิกษุ คือ ผู้ขออย่างมีเงื่อนไข” มิใช่เอาแต่เอ่ยปากขออยู่ร่ำไป อย่างไม่บันยะบันยัง
ทางที่เหมาะสมของภิกษุ ก็คือ มุ่งสร้างตน และสร้างงานให้ดี จนคนอื่นเห็นชัดในความดี และความจำเป็น จนกระทั่งอยากจะมีส่วนร่วมในการสนับสนุน โดยมองเห็นว่า ภิกษุนั้นเป็น “เนื้อนาบุญ” คือเป็นที่เพาะปลูกคุณงามความดีให้ทวีคูณยิ่งขึ้นต่อไป
ญาติโยมจะต้องมีส่วนสร้างวัฒนธรรมแห่งการปวารณา เพื่อสนับสนุนพระธรรมวินัย และสร้างภิกษุที่ดีในสังฆมณฑล
ปวารณาในความหมายนี้ คือ การเอ่ยปากเปิดทางให้พระบอกถึงความจำเป็นที่จะให้ญาติโยมช่วยเป็นธุระ จัดหาของฉันของใช้ อันควรแก่สมณะบริโภค
ทั้งนี้ ญาติโยมผู้ปวารณานั้น จะต้องมีความเอาใจใส่ในส่วนขาด และในส่วนเหลือของพระด้วยเสมอ โดยจะต้องหมั่นไปมาหาสู่ ฟังธรรม สนทนาธรรมอยู่เนืองๆ
หลายคนมักมีปัญหาว่า จะนำสิ่งใดไปถวายพระจึงจะดี ในเมื่อการถวายเงินเป็นเรื่องผิด ยิ่งกว่าการถวายเหล้าเสียอีก ปัญหาในข้อนี้จะหมดไป เมื่อมีการปวารณา เพราะพระจะเอ่ยออกบอกกล่าวแก่ญาติโยมได้เลย แก่ผู้ปวารณากับท่านแล้ว เข้าพรรษาปีนี้ ขอเชิญญาติโยมฝึกเป็นโยมปวารณากันเถอะ
ท่านจันทร์ www.prajan.com