
ลิงแก้แห
โบราณเปรียบ "ลิงแก้แห" นั้นแย่มาก แสนลำบาก หนักหนา พาสับสน ยิ่งอยากแก้ ยิ่งยุ่งใหญ่ ให้วกวน แหพันตน แก้ไม่สุด หลุดสักที
ขอยืมคำกลอน “ลิงแก้แห” นี้มาเป็นภาพสะท้อนการแก้ปัญหาของสังคมไทยทุกวันนี้ในทุกๆ ด้านทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เราสร้างเครื่องมือเครื่องไม้เพื่อแก้ปัญหาหนึ่ง แต่ก็แก้ไม่ได้มิหนำซ้ำยังพัลวันให้เกิดปัญหาใหม่ที่ยิ่งยากต่อการแก้เข้าไปอีกเหมือนลิงที่พยายามจะแก้แหที่ติดร่างอยู่ ยิ่งแก้ก็ยิ่งพันตัวเอง ข่าวใหญ่ที่มาแรงและสะท้อนภาพ “ลิงแก้แห”
ในสัปดาห์นี้หนีไม่พ้นข่าว พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ที่ได้รับการต่อต้านจากหมอและคนในแวดวงสาธารณสุข เพราะเชื่อว่า พ.ร.บ.นี้ จะยิ่งทำให้แพทย์และผู้ป่วยมีความขัดแย้งมากขึ้นไปอีก หมอจะกลัวถูกฟ้อง และปฏิเสธการรักษา ท้ายสุดจะมีผลทำให้ค่ารักษาพยาบาลแพงยิ่งขึ้นเพราะหมอจะเรียกเก็บในอัตราที่สูงเพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจจะเกิดจากการถูกฟ้อง
พ.ร.บ.ดังกล่าวอาจมีผลทำให้ปริมาณของ “หมอ” ประเทศไทยลดลงก็ได้ เพราะไม่ต้องการเสี่ยงต่อการถูกฟ้อง สังคมไทยเราเต็มไปด้วยข้อกฎหมายที่ส่วนใหญ่ลอกเลียนมาจากต่างประเทศ โดยที่ไม่ได้ดูพื้นฐานทางวัฒนธรรม ความเป็นจริงของสังคมไทย
จากคำบอกเล่าของแพทย์ชนบทหลายท่านว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลต่างจังหวัดทุกวันนี้ห้องผ่าตัดแทบจะเป็นที่อยู่ของหนู จิ้งจก ตุ๊กแก เพราะหมอไม่กล้าลงมือผ่าตัด
ด้วยมีกฎว่าต้องมีวิสัญญีแพทย์เป็นผู้ดมยาให้คนไข้ ซึ่งเป็นข้อกำหนดในประเทศตะวันตกอย่างอเมริกา แต่โรงพยาบาลต่างจังหวัดประเทศไทยจะมีวิสัญญีแพทย์ประจำสักกี่คน หากแพทย์ตัดสินใจผ่าตัดใหญ่ โดยไม่มีวิสัญญีแพทย์ และหากเกิดความผิดพลาดก็จะกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนโดยไม่เจตนาไปทันที ทำให้หมอโรงพยาบาลอำเภอหลายแห่งไม่รับผ่าตัด ส่งต่อไปให้โรงพยาบาลอื่น ห้องผ่าตัดจึงกลายเป็นที่อยู่ของหนู นก จิ้งจก ตุ๊กแก การแก้ปัญหา “เอาอย่าง” ประเทศอื่นโดยไม่ดูความเป็นจริงของสังคมไทยก็ยิ่งทำให้ปัญหาจะ “ซ้ำเติม” และแก้ยากยิ่งขึ้น
ถ้าจะไม่ให้แหพันตัวเอง ก็ต้องย้อนกลับไปดู “ต้นตอ” และ “จุดที่พันกัน” ตั้งสติและค่อยๆ แก้ปม แต่ดูๆ แล้ว “แห” ที่พันสังคมไทยอยู่มันอีรุงตุงนังหลายทบหลายวน จนยากที่จะแก้หลุด!!!
อีกสิ่งหนึ่งที่สังคมไทย “ถนัด” คือ การไม่แก้ปมที่พันอยู่เดิม แต่ไปสร้างปมใหม่ ลักษณะนี้เห็นได้จากการจัดตั้งองค์กรใหม่เพื่อมาทำหน้าที่ขององค์กรเดิม มีบทบาทภารกิจซ้ำซ้อนองค์กรเดิม ด้วยเหตุผล “เพื่อความคล่องตัว มีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น”
ประเทศไทยมี “องค์กรอิสระ” หลายหน่วยงานที่ทำหน้าที่เหมือนองค์กรรัฐ เช่น พอช ทำหน้าที่พัฒนาชนบทเหมือนกรมการพัฒนาชุมชน กรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท หลายปีผ่านไปองค์กรอิสระเหล่านี้ก็จะค่อยๆ แปรสภาพไร้ประสิทธิภาพเหมือนองค์กรรัฐ และไม่สามารถทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์กรได้อีก ก็จะมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ เช่น สำนักงานชุมชนพอเพียง ที่ท้ายสุดก็ทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานเดิมที่มีอยู่แล้ว
สิ่งที่น่ากังวลคืองบประมาณที่สูญสิ้นไปกับการแก้ปัญหาแบบลิงแก้แห หรือการสร้างปมใหม่นี้มากมายสักเท่าใดยังไม่มีใครประเมิน แต่สิ่งที่ชาวประชาชีรับรู้ จับต้องได้ก็คือ “ยิ่งแก้ ยิ่งแย่” อยากเสนอแนะรัฐบาลให้ใช้ มรรค 8 ของพระพุทธเจ้าเป็นหนทางในการแก้ปัญหาประเทศแบบเบ็ดเสร็จ
1.สัมมาทิฐิ 2.สัมมาสังกัปปะ 3.สัมมาวาจา 4.สัมมากัมมันตะ
5.สัมมาอาชีวะ 6.สัมมาวายามะ 7.สัมมาสติ 8.สัมมาสมาธิ
อย่ารอให้ฝรั่งใช้มรรค 8 ได้ผลแล้วเขียนตำรามาหลอกขายรัฐบาลไทยให้ต้องจ่ายค่าที่ปรึกษาเป็นล้านๆ ดอลลาร์ อย่างที่เป็นมาอีกนะ จะบอกให้
"อาจารย์ยักษ์ มหาลัยคอกหมู "