
เย็นฉ่ำจิตชื่นฉ่ำใจ รดน้ำมนต์..."ครูบาน้อย-หลวงพ่อเลิศ"
"รดน้ำมนต์" หรือ "ประพรมน้ำมนต์" เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมซึ่งส่วนใหญ่แล้วพระจะรดให้เมื่อพิธีกรรมนั้นๆ จบลง โดยมีคติความเชื่อว่า "น้ำที่ผ่านพิธีน้ำมนต์ ที่สำเร็จด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ ในงานพิธีมงคลต่างๆ หรือการเสกของพระภิกษุ หรือคฤหัสถ์ ผู้ทรงว
ในกรณีมีผู้มาร่วมงานมากๆ อย่างกรณีวันไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หรืองานวันสงกรานต์ จ.นครราชสีมา วิธีการรดน้ำมนต์ของพระจะต้องพึ่งเทคโนโลยี กล่าวคือทางผู้จัดงานถึงกับต้องใช้ปั๊มน้ำผ่านสายยางให้หลวงพ่อคูณปริสุทโธถือ เพื่อผู้มาร่วมงานได้รับน้ำมนต์อย่างทั่วถึง
สำหรับการรดน้ำมนต์ของพระเกจิอาจารย์แห่งยุคนี้ ที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ และเป็นที่กล่าวขานของนักแสวงบุญมีอยู่ ๒ รูป คือ พระครูสิริศีลสังวร หรือครูบาน้อย เตชปญฺโญ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดศรีดอนมูล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เชี่ยวชาญวิทยาคม เป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศ ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าแห่งล้านนา คำประพรมท่านรับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่หล้าตาทิพย์ (พระครูจันทสมานคุณ) ซึ่งคำประพรมน้ำมนต์นี้เป็นคำโคลงของล้านนาไทย ที่อวยพรไห้แก่คณะศรัทธาญาติโยมให้มีความสุขความเจริญในหน้าที่การงาน ตลอดถึงมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ว่าจะไปรดครั้งละกี่คน ท่านร่ายคำโคลงของล้านนาไทยไม่ต่ำกว่า ๑๕ นาที
ส่วนอีกรูปหนึ่ง ต้องยกให้การรดน้ำมนต์เสือกินน้ำของพระครูปลัดปริยัติวรวัฒน์ หรือหลวงพ่อเลิศ เจ้าอาวาสวัดปราโมทย์ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม โดยจะรดน้ำมนต์ให้หลังจากพิธีกรรม "ตัดผมลอยเคราะห์รับโชค" ทั้งนี้ ท่านได้รับการถ่ายทอดจากพระธุดงค์รูปหนึ่งเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน ระหว่างประพรมน้ำมนต์นั้น หลวงพ่อเลิศจะบริกรรมคาถาไปด้วย โดยจะใช้เวลาประมาณ ๑๐-๑๕ นาที เรียกกันว่า "ได้รับน้ำมนต์เปียกชุ่มฉ่ำเย็นใจ สบายกายกันไปถ้วนหน้า"
หลวงพ่อเลิศบอกว่า ระหว่างประพรมน้ำมนต์นั้น บริกรรมคาถาหลายบทรวมกัน ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่บทหนึ่งที่คนไทยจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งนี้ พระสงฆ์จะเจริญพุทธมนต์เป็นบทสุดท้ายของการให้พร คือ "มงคลจักรวาลน้อย" ซึ่งมีคำแปลดังนี้
"....สัพเพ เต โรคา (สรรพโรคทั้งหลายของท่าน) สัพเพ เต ภะยา (สรรพภัยทั้งหลายของท่าน) สัพเพ เต อันตะรายา (สรรพอันตรายทั้งหลายของท่าน) สัพเพ เต อุปัททะวา (สรรพอุปัทวะทั้งหลายของท่าน) สัพเพ เต ทุนนิมิตตา (สรรพนิมิตต์ร้ายทั้งหลายของท่าน) สัพเพ เต อะวะมังคะลา (สรรพอวมงคลทั้งหลายของท่าน) วินัสสันตุ (จงพินาศไป)
นอกจากนี้แล้วยังให้มีความเจริญ ๗ กล่าวคือ อายุวัฑฒะโก (ความเจริญอายุ) ธะนะวัฑฒะโก (ความเจริญทรัพย์) สิริวัฑฒะโก (ความเจริญสิริ) ยะสะวัฑฒะโก (ความเจริญยศ) พะละวัฑฒะโก (ความเจริญกำลัง) วัณณะวัฑฒะโก (ความเจริญวรรณะ) สุขะวัฑฒะโก (ความเจริญสุข) โหตุ สัพพะทา, จงมี (แก่ท่าน) ในกาลทั้งปวง
และลงท้ายด้วย ทุกขะโรคะภะยา เวรา, ทุกข์ โรค ภัย และเวรทั้งหลายโสกา สัตตุจะปัททะวา, ความโศก ศัตรู และอุปัททวะทั้งหลาย อะเนกา อันตะรายาปิ , ทั้งอันตรายทั้งหลายเป็นอเนก วินัสสันตุ จะเตชะสา, จงพินาศไปด้วยเดช ชายะสิทธิ ธะนัง ลาภัง, ความชนะ ความสำเร็จ ทรัพย์ ลาภ โสตถี ภาคะยัง สุขังพะลัง, ความสวัสดี ความมีโชค ความสุข กำลัง สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ, สิริ อายุ และวรรณะ โภคัง วุฑฒี จะยะสะวา, โภคะ ความเจริญ และความเป็นผู้มียศ สะตะวัสสา จะ อายุ จะ, และอายุยืน ๑๐๐ ปี
"จะมาคนเดียว สิบคน หรือมาเป็นร้อย อาตมาจะรดน้ำมนต์นานและบริกรรมคาถายาวเหมือนกันหมด เพราะกว่าญาติโยมจะเดินทางมาวัดได้ใช้เวลาไม่ตำกว่า ๔-๕ ชั่วโมง ที่เดินทางมาไกลๆ เป็น ๑๐ ชั่วโมงก็มี เมื่อมาแล้วก็ต้องรดน้ำมนต์ และให้พรกับญาติโยมอย่างเต็มที่ เวลา ๑๐-๑๕ นาทีที่รดน้ำมนต์ไป เทียบไม่ได้กับเวลาที่ญาติโยมเดินทางวัดมาเลย" หลวงพ่อเลิศกล่าวทิ้งท้าย
ช่วงวันหยุดยาว ๔ วัน ในเทศกาลเข้าพรรษาปีนี้ หากใครได้ขึ้นไปทางเหนือ ก็อย่าลืมแวะไปรดน้ำมนต์กับครูบาน้อย สอบถามเส้นทางได้ที่โทร.๐-๕๓๔๒-๑๐๔๐ และ ๐-๕๓๔๒-๐๒๗๗ ส่วนผู้ที่จะเดินทางไปรดน้ำมนต์กับหลวงพ่อเลิศ สอบถามเส้นทางไปวัดได้ที่โทร.๐-๘๑๒๖๘-๘๙๐๓ และ ๐-๓๒๓๙-๙๓๒๒
น้ำมนต์เข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์
ในพิธีกรรมทำน้ำมนต์ น้ำมนต์จากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ขาดไม่ได้ คือน้ำมนต์จากเศียรหลวงพ่อสุข พระประธานในพระอุโบสถวัดตูม ต.วัดตูม จ.พระนครศรีอยุธยา พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะแปลกประหลาดกว่าพระพุทธรูปองค์อื่นๆ ในประเทศไทย คือที่พระเศียรตอนเหนือพระนลาฏเปิดออกได้ พระเกศมาลาทอดได้ภายในพระเศียร เป็นบ่อกว้างลึกไปเกือบถึงพระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลา เหมือนหยาดน้ำเหงื่อ เป็นน้ำใสเย็นบริสุทธิ์ รับประทานได้ โดยตักออกมาจนแห้งก็ยังมีซึมออกมาอีก ชาวบ้านนับถือกันมาก เพราะว่าบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างน่าอัศจรรย์
ส่วนประพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อีกองค์หนึ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน คือน้ำมนต์จากเศียรหลวงพ่ออุ่นเมือง ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดน้ำฮู อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองปายมาช้านาน ประดิษฐานอยู่ที่วัดน้ำฮู ซึ่งชื่อวัดนี้ก็ได้มาจากการที่บนพระเศียรของหลวงพ่อซึ่งจะมีน้ำขังอยู่ เคยพิสูจน์กันมาแล้วว่า หลังจากที่ได้ตักน้ำออกจากพระเศียรของท่านจนหมดแล้ว ทำการปิดวิหาร ห้ามเข้าออก
ในขณะที่พระสงฆ์ที่ขึ้นชื่อว่า ลูกศิษย์ไปรดน้ำมนต์มากเป็นอันดับต้นๆ คือพระวรญาณมุนี หรือหลวงตาละมัย วัดอรัญญิก จ.พิษณุโลก เป็นที่เคารพนับถือของ ส.ส.และผู้สมัครของ จ.พิษณุโลก ทุกพรรคไปรดน้ำมนต์เสริมสิริมงคล เพื่อชัยชนะเป็นประจำ ท่านเป็นพระเถราจารย์ที่ขึ้นชื่อในด้านวิทยาคม และเป็นเอกอุในเรื่องน้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ที่ศึกษาเล่าเรียนมาจากพระพิษณุบุราจารย์ (แพ พากุโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก
ถ้าเป็นภาคอีสาน ต้องยกให้พระครูประสาทพรหมคุณ หรือหลวงปูหงษ์ วัดเพชรบุรี (สุสานทุ่งมน) อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เทพเจ้าแห่งความเมตตามหานิยม แม้อสรพิษ (งูเห่า งูจงอาง ฯลฯ) ยังสยบ ไม่ทำอันตรายผู้ใด เป็นพระเกจิอาจารย์ดัง ที่ผู้สมัคร ส.ส.ในเขตอีสานใต้ (สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ) นิยมไปหา ให้ท่านอาบน้ำมนต์ ๗ ตุ่ม กันมากที่สุด
"จะมาคนเดียว สิบคน หรือมาเป็นร้อย อาตมาจะรดน้ำมนต์นาน และบริกรรมคาถายาวเหมือนกันหมด เวลา ๑๐-๑๕ นาทีที่รดน้ำมนต์ไป เทียบไม่ได้กับเวลาที่ญาติโยมเดินทางวัดมาเลย"
เรื่อง / ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"