ไลฟ์สไตล์

เพาะชำกล้ายางพาราในถุงดำ
เทคนิคใหม่เอกชนชาวมาเลเซีย

เพาะชำกล้ายางพาราในถุงดำ เทคนิคใหม่เอกชนชาวมาเลเซีย

13 ก.ค. 2553

ปกติการติดตามกล้าพันธุ์ยางพารานั้น จะให้เพาะเมล็ดลงในแปลง พออายุได้ 8 เดือนจึงจะมีการติดตาเขียวของยางพาราพันธุ์ดี แต่สำหรับผู้ประกอบการเพาะกล้าพันธุ์ยางพารารายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย อย่างที่ "รีวันเนอร์สเซอรี" ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กว่า 10 ไร่ ติดถนนจีเนียง

  กวน อัง เจ้าของรีวันเนอร์สเซอรี บอกว่า เดิมทีเคยเพาะกล้าพันธุ์ยางพารา โดยใช้วิธีการขุดร่องทำเป็นแปลงและเพาะเมล็ดยางพาราเหมือนที่ทำกันทั่วไป แต่พบจุดด้อยคือการเพาะในแปลงต้องใช้เวลา 8 เดือนกว่าจะติดตาเขียง หรือติดตายางพันธุ์ดี จากนั้นต้องรอให้แตกตาอีก 2 เดือนแล้วถอนขึ้นมาตัดรากแก้ว ซึ่งเป็นรากสำคัญของต้นยางพารา พร้อมกับตัดยอดลำต้นเหนือที่ติดตาแล้วมาเพาะใส่ถุงดำเก็บไว้ในโรงเรือนเพื่อพักฟื้นรอจนออกใบ 2 ฉัตรกว่า ปลูกในแปลงสวนยางใช้เวลานานถึง 1 ปี และที่สำคัญการตัดรากแก้วออกอย่างที่ทำกันทั่วไปนั้น ทำให้ต้นยางไม่แข็งแรง เมื่อเจอพายุอาจทำให้ต้นยางพาราล้มได้ ล่าสุดจึงทดลองเพาะเมล็ดในถุงดำ ปรากฏว่า เพียง 6-7 เดือนก็ติดตาเขียวได้แล้ว เมื่อติดรอจนแตกกิ่ง ใช้เวลา 8-10 เดือนก็สามารถนำไปปลูกในสวนได้แล้ว ที่สำคัญรากแก้วยังอยู่เหมือนเดิม

 อย่างไรก็ตาม กวน ยอมรับว่า การเพาะเมล็ดในถุงดำอาจใช้พื้นที่มากกว่าตรงที่ต้องเพาะถุงละ 1 ต้น และอาจลงทุนมากกว่าตรงที่ว่าการเพาะเมล็ดในถุงดำดินในถุงมีจำกัด โอกาสขาดน้ำเร็วจึงต้องดูแลเรื่องการรดน้ำมากกว่าปลูกในดิน แต่เมื่อคำนวณระยะเวลา และลดการเสียเวลาที่จะต้องมาถอน ตัดแต่งรากใหม่ซึ่งต้องใช้แรงงานมาก ต้นทุนไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก คือต้นทุนคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 9-11 บาท ขายในราคาต้นละ 23 บาท ดังนั้นวิธีเพาะเมล็ดในถุงดำจึงเป็นที่นิยมมากกว่า และเกษตรกรชอบมากกว่าเนื่องจากต้นยางมีรากแก้วที่สมบูรณ์

 "ตอนนี้ในมาเลเซียก็เริ่มปลูกยางมากขึ้นแล้ว เพราะมีปัจจัยที่ราคายางสูงขึ้น อย่างที่รีวันเนอร์สเซอรี ปีนี้มีการจองกล้าพันธุ์แล้วกว่า 1 ล้านต้นเฉพาะที่ตรงนี้ แต่ฉันมีแปลงเพาะอยู่ 3 แห่งในรัฐเกดะห์ คือที่นี่ และมีอีก 2 แห่งคือที่บ้านตาเกาะรู บางลังลือมู ในรัฐเกดะห์ทั้งหมด แต่ละปีขายได้แห่งละกว่า 1 ล้านต้น อย่างที่รีวันเนอร์สเซอรีตรงนี้มี 3 สายพันธุ์คือ พีบี 350 (pb350) เป็นพันธุ์ใหม่มาจากปาดังเบซาร์ รัฐสลังอร์ ขายดีที่สุดเนื่องจากให้ผลผลิตสูง ตามด้วยอาร์อาร์ไอเอ็ม 2025 และเคที ซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลมาเลเซีย เป็นพันธุ์มาจากกัวตาติงงี จากรัฐยะโฮร์บาห์รู" กวน กล่าว

 ด้าน ปอฉิว ชวนชื่น ผู้ชำนาญด้านยางพาราในรัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซียเชื้อสายไทย บอกว่า ปัจจุบันที่ชาวสวนมาเลเซียนิยมซื้อกล้ายางแบบเพาะเมล็ดในถุงดำ เพราะพื้นที่ปลูกยางส่วนใหญ่เป็นที่เนิน จึงเหมาะกับพันธุ์ที่มีรากแก้วที่สมบูรณ์ เมื่อแกะถุงแล้วยังสมบูรณ์สามารถชอนไชเข้าในดินได้ทำให้ต้นยางแข็งแรง ส่วนผู้ประกอบการที่นิยมเพาะเมล็ดในถุงดำเพื่อตัดปัญหาแรงงาน ซึ่งมาเลเซียนั้นขาดแรงงานภาคเกษตร ต้องนำแรงงานจากต่างด้าว แต่ก็หายากในปัจจุบัน

 "เกษตรกรชาวมาเลเซียเริ่มขยายการปลูกยางพารามากขึ้นแล้ว โดยเฉพาะในรัฐเกดะห์ มีพันธุ์ยางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ อาร์อาร์ไอเอ็ม 2025 ล่าสุดพีบี 350 กำลังมาแรง นอกจากนั้นเป็น อาร์อาร์ไอเอ็ม 2001 อาร์อาร์ไอเอ็ม 929 และอาร์อาร์ไอเอ็ม 928 โดยนิยมสลับปลูกกันคือในส่วนหนึ่งจะปลูกยางหลายสายพันธุ์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้น" ปอฉิว กล่าว    

 นับเป็นเทคนิคใหม่หรือวิธีการเพาะกล้าพันธุ์ยางพาราแบบใหม่ ที่ผู้ประกอบการเพาะกล้ายางในประเทศไทยน่าจะทดลองใช้บ้าง

" ดลมนัส  กาเจ"