ไลฟ์สไตล์

ครูมนตรี ตราโมท 3

ครูมนตรี ตราโมท 3

06 ก.ค. 2553

ถ้าจะกล่าวถึงจังหวัดสุพรรณบุรีแล้ว ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า ดินแดนแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตศิลปินและนักร้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นศิลปินไทยเดิมอย่าง

   ครูมนตรี ตราโมท ครูแจ้ง คล้ายสีทอง นักร้องเพลงเพื่อชีวิต  น้าแอ๊ด คาราบาว ซึ่งคนนี้ถือว่าเป็นสุดยอดและอมตะตลอดกาล นักร้องลูกทุ่งอย่าง ครูไวพจน์ เพชรสุพรรณ ขวัญจิต ศรีประจัน เหล่านี้ ต้องถือว่าทุกท่านเป็นศิลปินชื่อดังของเมืองไทย อ้อ ผมลืมไปว่ายังมี คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์  และ ครูสุรพล สมบัติเจริญ ซึ่ง 2 รายนี้ต้องบอกว่า ยิ่งกว่าอมตะนิรันตร์กาล ซึ่งทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้ว่าจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นดินแดนที่กำเนิดศิลปินที่มากไปด้วยความสามารถ และโด่งดังมีชื่อเสียงที่สุด และนี่ยังไม่รวมถึงศิลปินดนตรีไทยอีกมากมายหลายท่านนะครับ

 เอาล่ะครับ ทีนี้เรากลับมาเข้าเรื่องของ ครูมนตรี ตราโมท ศิลปินเลือดเนื้อเชื้อไขของสุพรรณบุรี โดยหลังจากครูมนตรี ตราโมท ได้ช่วยหลวงวิจิตรวาทการ แต่งเพลงละครประวัติศาสตร์แล้ว ในปีพ.ศ. 2484 ครูมนตรี ตราโมท ได้ย้ายจากโรงเรียนศิลปากร หรือ วิทยาลัยนาฏศิลปในปัจจุบัน กลับไปเป็นหัวหน้าแผนกดุริยางค์ไทย กรมศิลปากร ซึ่งในปีนั้นรัฐบาลได้จัดประกวดเพลงประจำวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจะมีการเฉลิมฉลองประจำปีที่จะเรียกกันว่า วันชาติ โดยครูมนตรี ตราโมท ได้แต่งเพลงชื่อว่าเพลงวันชาติเข้าประกวด และก็ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลที่ 1 ซึ่งเพลงนี้ก็จะใช้เปิดในวันที่ 24 มิถุนายน เป็นประจำของทุกๆ ปี ซึ่งต่อมาได้ประกาศยกเลิกในภายหลัง

 ครูมนตรี ตราโมท ได้แต่งเพลงประเภท 3 ชั้น เพลงเถา เพลงประวัติศาสตร์ รวมถึงเพลงระบำและเพลงเบ็ตเตล็ด มากกว่า 200 เพลง และเพลงที่แต่งทุกๆ ประเภทก็จะเป็นเพลงที่นิยมแพร่หลายกันมากมายหลายเพลง อย่างเช่น เพลงเถา ก็จะมีเพลงโสมส่องแสง แขกกุลิต แขกต่อยหม้อ มอญรำดาบ เพลงประวัติศาสตร์ก็จะมีเพลง ฝั่งโขง ไทยมุง น่านเจ้า ล้านนา ส่วนประเภทเพลงระบำ ซึ่งต้องถือว่า ครูมนตรี ตราโมท เป็นผู้แต่งเพลงประเภทนี้มากที่สุด และทุกเพลงก็ต้องบอกว่าไม่มีเพลงไหนที่ฟังแล้ว ไม่ไพเราะแม้แต่เพลงเดียว เช่น เพลงระบำนพรัตน์ ม่านมงคล ไกลลาศสำเริง  อัศวลีลา และที่สำคัญที่สุดก็คือเพลงโบราณคดีทั้ง 5 ชุดประกอบไปด้วย ระบำศรีวิชัย ระบำลพบุรี ระบำทวารวดี ระบำเชียงแสน และระบำสุโขทัย ซึ่งเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นเพลงที่อมตะ ให้นักดนตรีไทยได้บรรเลงกันจนถึงทุกวันนี้

 นอกจากนี้ ครูมนตรี ตราโมท ยังมีเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น เพลงพม่าไทยอธิษฐาน เพลงลาวไทยปณิธาน ซึ่งเป็นเพลงที่ใช้สำหรับคณะทูตสันถวไมตรีไปเยือนประเทศนั้นๆ

 ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2485 ได้เปลี่ยนชื่อจาก นายบุญธรรม ตราโมท มาเป็น นายมนตรี ตราโมท และหลังจากนั้น 2 ปี ได้เป็นผู้ควบคุมวงดนตรีและคณะละครไปแสดงในงานราชาภิเษก ของสุลต่านรัฐกลันตันประเทศมาเลเซีย

 ครูมนตรี ตราโมท ได้เป็นผู้สนใจในเรื่องกวีนิพนธ์มาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน เมื่อได้เข้ามาอยู่ในกรมมหรสพ จึงศึกษาตำราภาษาไทยรวมถึงบทกวีนิพนธ์ต่างๆ โดยเฉพาะหนังสือพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พอเริ่มมีความรู้และความเข้าใจในการแต่งบทกวี จึงได้เริ่มแต่งบทกวีสั้นๆ ส่งไปลงหนังสือนิตยาสารรายสัปดาห์รายเดือน และต่อมาภายหลังก็มีความชำนาญในเรื่องการแต่งโคลงกลบทต่างๆ

 ครูมนตรี ตราโมทได้แต่งหนังสือที่เป็นวิชาการเอาไว้หลายเล่ม เช่น หนังสือดุริยางค์ศาสตร์ การละเล่นของไทย และที่สำคัญที่สุดก็คือ หนังสือศัพท์สังคีต ซึ่งเป็นหนังสือที่บัญญัติคำต่างๆ ที่ใช้ในวงการดนตรีไทยจนถึงทุกวันนี้

 ครูมนตรี ตราโมท เริ่มรับราชการมาตั้งแต่สมัยกรมปี่พาทย์หลวงจนกระทั่งกลายมาเป็น กรมศิลปากร และท่านก็รับราชการกรมศิลปากรจนกระทั่งปลดเกษียณ แต่กรมศิลปากรก็จ้างต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษ และนอกจากนั้นท่านก็ยังเป็นอาจารย์พิเศษตามสถาบัณต่างๆ เช่น วิทยาลัยนาฏศิลป คุรุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่สำคัญ คือเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาภาษาไทย เกี่ยวกับบทละครที่คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเหล่านี้เป็นวิถีชีวิตของท่าน หลังจากที่ท่านปลดเกษียณอายุราชการ

 ครูมนตรี ตราโมท ได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2534 รวมอายุได้ 95 ปี
ซึ่งอาจจะบอกได้ว่าท่านมีอายุยืนยาวพอสมควร และทั้งหมดนี้ก็คือครูมนตรี ตราโมท ผู้ที่เป็นบุคคลสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งของวงการดนตรีไทย สำหรับฉบับนี้หมดเนื้อที่แล้วครับ ฉบับหน้าค่อยมาพบกันใหม่นะครับ...สวัสดีครับ

"ขุนอิน"