
ในที่สุด...ฉันก็ได้พบเธอมัสสุหรีพระนางเลือดขาวบนเกาะต้องคำสาป
"มัสสุหรี" ผู้หญิงที่ฉันเคยรู้จักผ่านการค้นคว้าข้อมูลเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่าครั้งนั้นฉันได้รับมอบหมายให้ทำพล็อตละครทีวีที่เกี่ยวพันความรักของสองเชื้อชาติระหว่างหนุ่มไทยกับสาวมาเลเซีย ประมาณว่าเป็นความรักต่างพรหมแดน จุดหมายเพื่อโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวขอ
เพื่อให้การกำหนดฉากในบทละครง่ายขึ้นคนเขียนบทจึงต้องเดินทางไปเก็บรายละเอียดของสถานที่ด้วยตัวเอง แต่ยังไม่ทันเก็บเสื้อผ้า โครงการร่วมทุนระหว่างสองประเทศก็มีอันต้องพับไป การไปเยือนลังกาวีจึงล้มเลิกลงกลางคัน พร้อมๆ กับผู้หญิงที่ชื่อ มัสสุหรี ก็หายไปจากความสนใจของฉันร่วมหลายปี
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ฉันมีโอกาสตะลอนทัวร์ภาคใต้จากการชักชวนของเพื่อน จึงไม่รอช้าที่จะตอบรับพราะนอกจากอาหารปักษ์ใต้ที่ถวิลหาแล้ว ยังจะได้ข้ามฝั่งไปยังเกาะลังกาวี ดินแดนแห่งตำนานโศกสลดของพระนางมัสสุหรี ผู้หญิงหัวใจเด็ดเดี่ยว ที่ครั้งหนึ่งฉันเกือบจะได้พบกับเธอแต่ก็คลาดกันไปคราวนั้น
น่าเสียดายเหลือเกินที่การไปเที่ยว เกาะลังกาวี ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ฟ้ามืดครึ้มฝนตกพรำตลอดการเดินทางตั้งแต่นั่งเรือเฟอร์รี่จากสตูลข้ามฝั่งมาที่มาเลเซีย ทำให้ต้องตัดโปรแกรมเด็ดๆ เช่น การนั่งกระเช้าลอยฟ้าเพื่อชมทัศนียภาพเหนือยอดเขาคุนุงมัตจิงจั้ง ความสูงกว่า 710 เมตรจากระดับน้ำทะเล จนอดรู้เลยว่ามันจะตื่นเต้นและหวาดเสียวเหมือนนั่งชิงช้าสวรรค์หรือเปล่า เศร้า!!
แต่ก็ยังดีที่สาวๆได้ช็อปปิ้งซื้อสินค้าปลอดภาษีที่ ตลาดกัวห์ ซึ่งไกด์ในมาเลยเซียบอกว่าสินค้าจากต่างประเทศจะถูกกว่าในเมืองไทยมากๆ แต่ปรากฏว่า...รถบัสเจ้ากรรมที่ไกด์นำมาต้อนรับเราดันหมดแรงวิ่งซะงั้น เราต้องรอรถอีกคันมาเปลี่ยนนานนับชั่วโมง ทำให้เวลาในการช็อปปิ้งหดเหลือแค่ 30 นาที
หลายคนได้แค่กระเป๋าเดินทางใบละ300 บาทติดมือมา ส่วนฉันได้ช็อกโกแลตถุงโตหลากหลายยี่ห้อ หน่วยเงินที่นั่นจะเป็นริงกิต ถ้าเราเห็นตัวเลขราคาที่ป้ายก็คูณ 10 เข้าไป จะเท่ากับบาทไทย จากนั้นก็ไปเที่ยวอีกหลายแห่ง อาทิเช่น พิพิธภัณฑ์ ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด, โลกใต้น้ำ Langkawi Under Water World และ สุสานพระนางมัสสุหรี ผู้หญิงที่ฉันอยากเจอ
เมื่อเราเดินผ่านเข้าไปในอาคารซึ่งมีลักษณะคล้ายพิพิธภัณฑ์ ไกด์คนเดิมเล่าตำนานให้ฟังว่า...พระนางมัสสุหรีเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานอ้างอิง เริ่มจากมีสามีภรรยาคู่หนึ่งย้ายมาอยู่ในเกาะลังกาวี จนให้กำเนิดลูกสาวชื่อว่า มัสสุหรี สาวงามที่หน้าตาสะสวย รูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ ปากเรียวเล็ก จมูกโด่งได้รูปงดงาม หนุ่มๆ ต่างหมายปองที่จะได้เป็นเจ้าของเธอ
ความได้ยินไปถึงหูพระยาลังกาวีจึงอยากได้ยลโฉมนางสักครั้ง พระยาลังกาวีจึงจัดงานเลี้ยงฉลองหลังเก็บเกี่ยวข้าว และเชิญชาวบ้านและมัสสุหรีมาช่วยกันตำข้าวเม่า ซึ่งเป็นประเพณีนิยมในยุคนั้น เมื่อเจ้าเมืองได้ประสบพักตร์มัสสุหรี จึงปรารถนาได้เป็นมเหสีอีกคน จึงขออนุญาตมเหสีองค์แรก แต่ภรรยาเอกไม่ยอม พระยาลังกาวีจึงให้น้องชายชื่อ วัน ดารุส แต่งงานกับมัสสุหรีแทน
หลังจากมัสสุหรีกับวันดารุสแต่งงานและแยกเรือนไปอยู่ที่อื่นประมาณ3 เดือน วันดารุสก็ถูกส่งตัวไปรบกับไทยในสมรภูมิไทรบุรี ระหว่างนั้นมัสสุหรีตคลอดลูกชายออกมา
วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์เรือล่มทางตอนเหนือของเกาะลังกาวี มีชายชาวสุมาตราที่รอดชีวิตมาขอข้าวขอน้ำนางมัสสุหรี ด้วยจิตใจที่มีเมตตา มัสสุหรีจึงได้ให้การช่วยเหลือ ชายผู้นั้นสำนึกบุญคุณจึงแวะเวียนมาช่วยตัดฟืนตอบแทนนาง ทำให้เกิดข่าวซุบซิบไปถึงหูมเหสีเอกของพระยาลังกาวี ด้วยความเกลียดชังฝังใจอยู่แล้ว นางจึงไปฟ้องพระยาลังกาวีว่ามัสสุหรีคบชู้สู่ชาย และยุให้ประหารชีวิตเสีย
พระยาลังกาวีหลงเชื่อมัสสุหรีพยายามอธิบายความบริสุทธิ์ก็ไม่เป็นผล นางจึงขอเอาเลือดตัวเองพิสูจน์ "หากข้าไม่ผิด ขอให้โลหิตไหลออกมาเป็นสีขาว" นางใช้กฤชแทงอกตัวเองปรากฏว่าเลือดพุ่งออกมากลายเป็นสีขาว มัสสุหรีได้สาปแช่งก่อนสิ้นใจ ให้เกาะลังกาวีไร้ความเจริญไป 7 ชั่วโคตร จนกระทั่งผ่านไป 200 ปี ลังกาวีจึงได้พ้นจากคำสาป หลังจากที่ทารกน้อยทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนางมัสสุหรี ถือกำเนิดออกมาที่เกาะภูเก็ต จึงมีการเชิญเธอมาทำพิธีแก้คำสาป จากนั้นมาเกาะลังกาวีก็กลับมาอุดมสมบูรณ์และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของมาเลเซียสืบมา
อาทิตย์ใกล้อัสดงเรือเฟอร์รี่แล่นผ่านกระแสคลื่นและสายฝนที่กระหน่ำลงมา เสมือนแทนการบอกลาลังกาวี ทันทีที่เท้าทั้งคู่ของฉันสัมผัสกับแผ่นดินแม่ อดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบความสวยงามของท้องทะเลหลายแห่งทางภาคใต้ กับทะเลบนเกาะลังกาวีว่าของใครจะสวยกว่ากัน
คำตอบก็คือบ้านเรากินขาดค่ะ เพียงแต่ว่าเขาสร้างจุดขายได้เก่งกาจกว่าเราเท่านั้นเอง ชาวลังกาวีจึงต้องขอบคุณผู้หญิงที่ชื่อ มัสสุหรี
www.oknation.net/blog/babymind