
กินเพื่อ..."บำรุงหรือบำเรอ"
"กิน" หรือที่พูดอย่างสุภาพว่า รับประทาน แต่ยังมีอีกหลายคำที่มีความหมายในทำนองเดียวกัน เช่น แดก ยัดห่า สวาปาม รวมทั้งในภาษาพระใช้คำว่า "ฉัน" พระพุทธองค์ทรงสอนเป็นภาษาบาลีว่า "ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ เนวะทวายนะ นะ มะทายะ นะ มัณฑะนายะ นะ วิภู
จากคำสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ท่านจึงมีวิธีพิจารณาเวลาท่านจะฉันภัตตาหารก็ต้องพิจารณาก่อน "ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ฯลฯ"
แต่ถ้าวันไหนลืมตัวไป ไม่ได้พิจารณา ก็ต้องตอนเย็นก่อนนอน เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จต้อง "อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขิต์วา ยัง จีวะรัง ปะริภุตตัง ฯลฯ"
ตอนเช้าลืมพิจารณาก็ต้องย้อนกลับมาพิจารณาเรื่องการฉันมื้อที่แล้วกันใหม่ เพราะข้อเท็จจริงของการขบฉันนั้นเป็นไปเพื่อการกำจัดความหิว เพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ ให้มีความแข็งแรง ไม่ใช่เพื่อบำเรอ แต่เพื่อเป็นการบำรุงร่างกายเท่านั้น
ถ้ายังไม่หายอีกต้อง "ยะถา ปัจจะยัง ฯลฯ"
ดังนั้นในกระบวนการกินเพียงอย่างเดียวพระพุทธเจ้าทรงให้พิารณาถึง ๓ หลักด้วยกัน คือ
๑.ขณะที่ฉันหรือกิน
๒.ถ้าลืมพิจารณาต้องย้อนกลับไปพิจารณาใหม่
๓.ถ้าท่านใจเพชรเด็ดขาดแล้ว ให้พิจารณาอีกแบบหนึ่งซึ่งแบบนี้ คือ "อาหาเร ปฏิกูลสัญญา" เป็นกรรมฐาน
ถ้าเราไม่ใจเด็ดจริงก็อย่าไปพิจารณาเป็นปฏิกูลนะท่าน เพราะถ้าเราพิจารณาแบบปฏิกูลแล้วเราจะกินไม่ลง เมื่อเรากินไม่ลงก็ควรพิจาณาง่ายๆ
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "สันโดด" ควรยินดีในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองได้เฉพาะหน้าเท่านั้น "ภิกษุทั้งหลาย อาหารที่เธอขบฉันนี้แม้เพียงปลายข้าวที่เขาเอามาต้มกับน้ำผักดอง แต่ถ้าเธอมีสันโดด คือยินดีในสิ่งนั้น ก็ไม่แพ้อาหารมื้อละแสน"
แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์เรานั้น เมื่อมีกินแล้วต้องรู้จักการกินด้วย กินให้มีความสุข ท่านทั้งหลายลองเปรียบเทียบดู ทานข้าวที่บ้านกับทานข้าวที่วัด มันต่างกันขนาดไหน ทานข้าวที่วัดไม่มีโต๊ะนั่ง ต้องแบกะดิน ใส่กล่อง หรือใส่ถุงวางที่พื้น เอาช้อนขยักๆ ใส่ปาก มองดูแต่ละคนร่ำรายกันทั้งนั้น
เอาเป็นว่า เรื่องกินมีข้อสรุปง่ายๆ อยู่ ๒ ประการ คือ
"กินเพื่ออยู่" หมายถึง กินเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น
"อยู่เพื่อกิน" หมายถึง อยู่เพื่อจะกินอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สน
"พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ) "