ไลฟ์สไตล์

เล่นหูเล่นตา-คุณหนู

เล่นหูเล่นตา-คุณหนู

13 มิ.ย. 2553

“เงาะโรงเรียนคร้าบ...3 โล 20...3 โล 20...”

 “เงาะอะไรวะถูกจัง 3 โล 20 ที่พี่ซื้อมาเมื่อกี้กิโลละ 20 บาทแล้ว ไฮโซ! สงสัยเป็นเงาะโรงเรียนคอนแวนต์ 3 โล 20 คงเป็นโรงเรียนรัฐบาล..."

 นุช ผู้ช่วยของฉันจัดการวิเคราะห์ที่มาที่ไปเสร็จสรรพ พูดจบก็หัวเราะคิกคัก อือ...ขำ! แต่ก็แอบเศร้าในใจอยู่ในที เงาะโรงเรียนกองพะเนินอยู่ในรถกระบะที่ไม่คัดขนาดลูกใหญ่ ลูกเล็ก สดหรือเน่า คละเคล้ารวมกันอยู่อย่างนั้น พ่อค้าจับยัดใส่ถุงชั่งแล้วส่งให้ลูกค้า ห้ามเลือก...เดี๋ยวด่า!

 มันอะไรกันนักหนา ก็แค่เอาคำว่า “โรงเรียน” ใส่กำกับสายพันธุ์ผลไม้ก็ยังไม่วายที่ต้องเกิดการเปรียบเทียบทั้งขนาดและคุณภาพ แบ่งแยกออกเป็นโรงเรียนเอกชนและรัฐบาล ดูๆ ไปแล้วก็เห็นคล้อยไปตามนั้น ไม่ว่าจะเป็น “เงาะ” หรือ “นักเรียน” มันไม่ได้ผิดที่ตัวเงาะหรือนักเรียน แต่ถ้าจะโทษคงต้องโทษ “ระบบและวิธีจัดการ” ที่ทำให้คำว่า “รัฐบาล” เป็นรอง “เอกชน” ไม่เช่นนั้นเด็กๆ บางโรงเรียนคงไม่ต้องกินนมบูดหมดอายุอย่างที่เป็นข่าวครึกโครม...(ความผิดก็ยังคงเป็นความผิดวันยังค่ำ นานแค่ไหนผู้คนก็จดจำและก่นด่า ว่ามั้ย?)

 พ่อแม่ทุกคนอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูก แต่ก็นั่นแหละ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะทำได้ดีที่สุดแค่ไหน ในที่นี้หมายรวมไปถึงกำลังทรัพย์เป็นสำคัญ บางคนมีแรง มีความพยายาม แต่ก็ยังหาไม่ได้เท่าที่ใจอยากจะมี ก็เอาเป็นว่าทำสุดกำลัง ทุ่มสุดตัว แต่ลูกจะเอาดีด้วยรึเปล่านั้น ไม่อาจคาดเดาได้...
 ฉันกับนุชหยุดยืนรอไฟเขียวไฟแดงหน้าตลาด ผู้คนเดินข้ามถนนทั้งๆ ที่ไฟเขียว รถพุ่งออกมา ขณะที่คนไม่สนใจ...กูจะข้าม! นุชกับฉันหันมามองหน้ากัน นุชยิ้มและพูดว่า

 “ฮึ! คนสะพาน 3 (ถนนจันทน์ สะพาน 3)”

 ทั้งรถกะป้อสีแดงที่มีนักเรียนนั่งกันอยู่เต็ม มอเตอร์ไซค์ที่เด็กนักเรียนนั่งซ้อนท้ายพ่อแม่ที่ขี่มารับ เด็กนักเรียนเดินแทะไส้กรอกแป้งสีแดงๆ โดยมีแม่จูงมือเดินข้ามถนนสวนกันไปมา ดูวึ่นวือเป็นที่สุด ร้อนก็ร้อนคนก็แยะ รถเริ่มติดฉันมองเข้าไปในรถยนต์ 7 ที่นั่งราคาแพงกว่าบ้านที่จอดติดไฟแดงอยู่ มีเด็กถักผมเปียสวมชุดนักเรียนคอนแวนต์นั่งนิ่งมองออกมานอกรถ...คุณนู้ คุณหนู!

 สมัยที่ฉันยังเป็นเด็กประถม เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนแล้ว พวกเราก็ดูเท่าเทียมกัน เพราะเป็นลูกคนจีนชั้นกลางเหมือนกัน พ่อแม่คนอื่นๆ ค้าขาย แต่เตี่ยฉันเล่นไพ่ส่งฉันเรียน เวลาครูถามก็ตอบไปว่า...“ค้าขาย” น่าจะตอบว่า “เสี่ยงโชค” มากกว่า เอ่อ...เอาเป็นว่าไม่ต่างกันถ้าไม่วัดกันที่หน้า! ความเสมอภาคมีขอบเขตและระยะทางจากโรงเรียนมาสุดที่ข้างบ้าน...เด็กนักเรียนข้างบ้านจะก้าวเท้าลงจากรถอย่างสง่างามโดยมีคนขับรถลงมาเปิดให้ คนใช้ 2-3 คนมารับกระเป๋าไป ครูพิเศษมารอติวให้ที่บ้านหลังเลิกเรียน นั่นแหละฉันถึงได้รู้ว่า “คุณหนู” เป็นอย่างไร ดีที่พวกเขาใจดีชอบแบ่งขนมให้พวกเรากินและติวหนังสือให้พวกเราก่อนสอบ เรื่องราวอาจจะคล้ายละครหลังข่าวช่อง 7 ที่ "กบ" สุวนันท์ เล่น แต่ไม่ใช่

 บ้านเราเป็นหนังบู๊กำลังภายในช่อง 3 ฉันถึงได้โตมาถอดแบบ “ลีหมกโช้ว” และ “ซือไท่มิกจ้อ” มาไม่ผิดเพี้ยน (นางมารชัดๆ)

 เมื่อยุคสมัยเดินเคียงข้างไปกับความเจริญ วิวัฒนาการของคำว่า “คุณหนู” ก็ยิ่งดูสูงส่งเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกมากไปหรืออย่างไร แต่ก็ไม่ไกลจากสิ่งที่เห็นเด็กอายุ 2 ขวบ 2 คน กับนางพยาบาลและผู้ติดตามอีก 4 คน ขวดนมของคุณหนูอยู่ในกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง รุ่นเนเวอร์ฟูล (Neverfull) ฉันว่าน่าจะมีรุ่นเนเวอร์พัว (Neverpoor ไม่มีวันจน) จะได้เข้ากันกว่านี้ เด็กๆ สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมชั้นนำของโลกที่ไม่มีขายในเมืองไทย หรือตลาดนัดไหนๆ ทั้งชุดตั้งแต่หัวจรดเท้าคงเป็นค่าเล่าเรียนทั้งปีของเด็กโรงเรียนชนบทได้สักคน เดินเล่นเท้าแตะพื้นอยู่ 2-3 ก้าว พี่เลี้ยงก็อุ้มขึ้นมาไว้กับอก...เลี้ยงดีชนิดไม่ตกฟากลากพื้น มันเป็นเช่นนี้เอง...ไม่นานพี่เลี้ยงก็อุ้มคุณหนูขึ้นรถตู้ V6 รุ่นที่นักการเมืองรวยๆ เขานิยมใช้กัน แล่นออกไปปล่อยให้ฉันยืนอึ้งย้งอยู่ตรงนั้น

 คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดแท้ๆ...ทูนหัวของนม!

 เดาต่อเอาเองว่า พอเข้าเรียนก็คงเรียนโรงเรียนอินเตอร์ โตขึ้นอีกหน่อยก็ไปเรียนโรงเรียนกินนอนของผู้ดีมีชาติตระกูลที่เมืองนอก กลับมารับกิจการสานต่อของพ่อแม่ปู่ย่าตายายและรอรับมรดกกองโต...เฮ้อ!...จะรวยไปไหน?

 หรือแม้แต่เกิดมาเป็นเด็กพิเศษหรือพิการก็ยังได้นอนอยู่ในรถเข็นราคาเป็นแสน มีพยาบาลเข็นให้เดินเล่นขณะที่แม่ช็อปปิ้งอยู่ในห้างไฮโซ คนธรรมดาที่เดินอยู่ยังต้องอิจฉา...ความผิดปกติทางกายภาพหรือจะสู้วาสนาอันสูงส่ง ถัดจากนั้นออกไปด้านนอก เด็กที่อยู่ในสภาพไม่ไกลกันทั้งวัยและสภาพร่างกายนอนง่อยบนพื้นเปล่าบนสะพานลอย รอคอยความเมตตาจากผู้คนที่เดินผ่าน

 "อะไรนะที่ทำให้คนเราต่างกัน?"

 ทุกคนล้วนอยู่ท่ามกลางความแตกต่างและต่างต่อสู้กับสิ่งที่เป็นอยู่อย่างสุดกำลัง ไม่สำคัญว่าจะสูง หรือต่ำ กว่าใคร แต่สำคัญที่ใจว่าจะยอมรับในความจริงแล้วสร้างสมดุลให้แก่ชีวิตที่เป็นอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นพระเจ้าหรือธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์มี “ความทะเยอทะยาน” เพื่อนำพาชีวิตขึ้นไปในจุดที่ดีกว่า จะดีกว่าเก่าหรือดีกว่าใครก็สุดแล้วแต่ เพราะที่สุดแล้ว จุดตัดสินคือเส้นชัยที่อยู่ข้างหน้าหาใช่จุดเริ่มต้นไม่ 

 ป.ล. ขออภัยหากมีสาระมากเกินไป แต่ก็ไม่ขัดกับภาพลักษณ์ที่เป็นอยู่...เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย ยังไงล่ะ!

เจนนิเฟอร์ คิ้ม