
หาคำตอบจากฮอนด้า ฟรีด
ในตอนแรกของการเปิดตัวรถยนต์ รุ่น ฟรีด (FREED) ของค่ายฮอนด้า หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า นี่หรือคือรถที่ฮอนด้าจะนำเข้ามาทำตลาด เพราะเมื่อดูจากรูปทรงภายนอก เครื่องยนต์ และการตั้งราคาขายของฮอนด้าแล้ว ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถคนไทยไม่น่าจะยอมรับได้ แบบนี้
แต่มาถึงวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า รถยนต์รุ่นนี้ก็ขายได้ แม้ยอดขายจะไม่ได้หวือหวาเหมือนแจ๊ซ ซีวิค หรือแอคคอร์ด เพราะด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนที่ฮอนด้าบอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ฟรีด เป็นรถเพื่อครอบครัวยุคใหม่ จึงทำให้กลุ่มเป้าหมายมีการแบ่งอย่างชัดเจน แต่จากการสอบถามพนักงานขายของฮอนด้าในหลายๆ โชว์รูม หลายคนบอกว่า ลูกค้าที่มาซื้อบางคนก็ไม่ได้มีครอบครัว แต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการรถยนต์ที่แตกต่าง เบื่อรถเก๋งก็มี
อย่างไรก็ตาม เมื่อใครได้ลองขับรุ่นนี้กันจริงๆ ก็จะรู้ว่า ความรู้สึกในการขับขี่ ฮอนด้า ฟรีด ไม่ได้แตกต่างจากรถเก๋งเท่าไรนัก แม้ตัวรถภายนอกจะดูใหญ่ก็ตาม เพราะเมื่อได้ลองจอดเทียบกันกับซีวิคความยาวของตัวรถไม่ต่างกันมากนัก แต่ความหนาและกว้างของฟรีดอาจจะดูใหญ่กว่า ที่ต้องบอกว่าฟรีดเป็นรถที่ไม่ต่างจากเก๋งนักก็เพราะว่า
โดยโครงสร้างพื้นฐานของรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเช่นเดียวกับรถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่าง ฮอนด้า ซิตี้ เพราะมีการปรับยืดระยะฐานล้อให้ตัวรถมีความกว้างขวางขึ้น เพื่อรองรับกับเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง (2+2+3) ที่สามารถพับเก็บได้หลากหลายรูปแบบ โดยขนาดมิติตัวถังความยาว 4,215 มิลลิเมตร กว้าง 1,700 มิลลิเมตร สูง 1,735 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,740 มิลลิเมตร และระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้า/หลัง 1,478/1,466
ด้วยความที่เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ครอบครัว เราจึงได้เห็นการเปิดประตูของรถรุ่นนี้ด้วยกันถึง 3 แบบ ประตูหน้าสุดด้านคนขับและคนนั่งเปิดเหมือนรถทั่วไป ด้านหลังหรือแถว 2 เป็นบานสไลด์เลื่อนเหมือนรถตู้ ซึ่งบานสไลด์นี้มีให้เลือกทั้งแบบไฟฟ้า และธรรมดา จะว่าไปแล้วบานประตูก็ไม่ได้หนักอะไรมากนัก ซึ่งมีเฉพาะรุ่น S ราคา 8.945 แสนบาท ซื้อรุ่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ประหยัดเงินไปได้ถึง 8 หมื่นบาท เมื่อเทียบกับตัวล่างของรุ่น E แต่ถ้าเทียบกับ รุ่น E Sport ถูกกว่า 1.2 แสนบาท และ 1.8 แสนบาทใน รุ่น E เนวิเกเตอร์
ที่ให้เลือกรุ่นนี้ก็ได้นั้น นอกจากราคาที่ถูกกว่าอยู่หลายขุมแล้ว ออปชั่นก็มีมาให้ครบกับรถระดับราคาเกือบ 9 แสนบาท ต้องยอมรับว่าทุกอย่างมีมาให้ครบแล้ว ส่วนใครที่อยากได้เนวิเกเตอร์ไปหาซื้อมาติดตั้งทีหลัง ราคาไม่กี่หมื่นบาทก็หาซื้อได้แล้ว สำหรับฟรีดมีทั้งหมด 4 รุ่นประกอบด้วย รุ่น S 894,500 บาท รุ่น E 974,500 บาท รุ่น E Sport 1,014,500 บาท และรุ่น E Navi Sport 1,074,500 บาท
ทางด้านเครื่องยนต์ แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็นรถแบบครอบครัวที่ใครๆ ก็กังวลว่าการวางเครื่องแค่ 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC SOHC กำลังสูงสุด 118 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.9 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที การตอบสนองก็สามารถทำได้ดีพอสมควร อัตราการเร่งแซงในช่วงต้นทำได้ดี แต่ช่วงปลายกลับทำได้ไม่ดีนักต้องรอกันพอสมควรโดยเฉพาะหากนั่ง 5-6 คนด้วยแล้ว ต้องบอกว่าพละกำลังที่มีอยู่ไม่เพียงพอ และถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงสิ่งที่น่าติติงอีกอย่างของรุ่นนี้คือ เสียงลมปะทะที่เข้าห้องโดยสาร ดังพอสมควร
ส่วนช่วงล่างถือว่าทำได้ดี เวลาเข้าโค้งไม่ออกอาการตุปัดตุเป๋ให้เห็นเท่าไรนัก สำหรับช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบคานแข็ง ทอร์ชั่นบีม H-Shape ส่วนขนาดล้อเล็กไปซะหน่อย ตามสเปกที่ให้มาคือ 185/65 R15 ความจุถังน้ำมัน 42 ลิตร สามารถเติม E20 ได้
ฮอนด้า ฟรีด เป็นรถอเนกประสงค์ที่น่าใช้อีกคันหนึ่ง เหมาะกับคนรุ่นใหม่ หรือครอบครัวยุคใหม่ รูปลักษณ์ภายนอกไม่ขี้เหร่ ภายในกว้างขวาง การออกแบบสวยงาม หากต้องการบรรทุกสัมภาระมากขึ้น สามารถพับเบาะแถว 3 โดยพับในลักษณะยกขึ้นแนบกับด้านข้างได้ โดยภาพรวมของรุ่นนี้ในรูปแบบการใช้งานถือว่าเยี่ยม ราคาอาจจะแพงไปนิ้ดดดด...เท่านั้นเอง