
พอแล้วรวย - โลภแล้วจนบทเรียนจากกรีซ
ในขณะที่บ้านเรามีการชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง ข่าวใหญ่ของประเทศฝั่งยุโรปหนีไม่พ้นข่าวประเทศกรีซที่เศรษฐกิจอยู่ในอาการป่วยไข้ถึงขั้นต้องเข้าห้องไอซียู นอนรอความช่วยเหลือเยียวยาอย่างเร่งด่วนจากประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอียูด้วยกัน
สิ่งที่น่าสนใจที่คนไทยต้องเรียนรู้ก็คือ กรีซเป็นประเทศมีประวัติศาสตร์ อารยธรรมเก่าแก่ มีความเจริญรุ่งเรือง ถือเป็นประเทศพัฒนาที่ประชากรมีมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ที่สูงมากประเทศหนึ่งในยุโรป แต่นำพาตัวเองสู่สถานะ “ล้มละลาย” ทางเศรษฐกิจได้อย่างไร คำตอบที่ได้ก็คือ “ประมาท รักสบาย หน้าใหญ่ ใช้จ่ายเกินตัว”
กรีซเป็นประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนในฝันของนักท่องเที่ยว มีประชากร 11 ล้านคน รายได้อันดับหนึ่งของประเทศ คือการท่องเที่ยว ขณะที่มีประชากรเพียง 11 ล้านคน แต่มีข้าราชการถึง 1 ล้านคน เท่ากับข้าราชการ 1 คนต่อประชากร 10 คน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก ทำให้มีรายจ่ายภาครัฐอันดับหนึ่งคือเงินเดือนข้าราชการ
เท่านั้นไม่พอ ความหน้าใหญ่อยากได้ชื่อและคิดว่าจะได้เงิน กรีซเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกในปี 2004 ในงานนี้ กรีซใช้เงินไปถึง 1.2 หมื่นล้านยูโร หรือ 4.9 แสนล้านบาท ผลสุดท้ายขาดทุนย่อยยับ! ขณะที่ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังดีกรีซยืมเงินมาใช้จ่ายภายในประเทศอย่างสนุกมือ ทำให้ประเทศมีหนี้สาธารณะสูงถึง 125% ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีหนี้ภาครัฐสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอียู
ความที่ขาดวินัยและชะล่าใจว่าเป็นสมาชิกอียู มีเครดิตจากประเทศใหญ่ๆ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ค้ำอยู่ ทำให้กรีซไม่ถูกกดดันในการชำระหนี้ หนี้สินจึงพอกพูน!
นอกจากระบบราชการที่ใหญ่เทอะทะ ด้อยประสิทธิภาพ กรีซยังมีปัญหาคอรัปชั่นหนักหน่วง มีธุรกิจมืดมากมาย ประมาณการกันว่ากรีซต้องสูญเสียรายได้เข้ารัฐไปกับธุรกิจมืดนี้สูงถึงแสนล้านเหรียญอเมริกัน และยังพบว่ามีการหมกเม็ด ตกแต่งตัวเลขทางการเงินให้ดูดีน่าเชื่อถือ เพื่อให้ยืมเงินคล่อง จนกรีซมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจคราวนี้ กรีซถูกบังคับให้รัดเข็มขัด ลดรายจ่าย โดยเฉพาะรายจ่ายของรัฐ คือเงินเดือนข้าราชการ เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ปิดกิจการรัฐที่ไม่มีกำไร ยืดอายุเกษียณออกไปจนถึงอายุ 65 ปี แปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นเอกชน ซึ่งหมายถึงการขายกิจการของรัฐนั่นเอง แต่การที่ประชากรถูกทำให้รักสบายเสียเคยตัว จึงมีคนไม่พอใจ ออกมาประท้วงต่อต้านมากมาย
อาการพังพินาศของเศรษฐกิจ ประเทศแล้วประเทศเล่า รวมทั้งวิกฤติต้มยำกุ้งของไทยเราเองที่มีสภาพไม่ต่างจากกรีซ ทำให้ต้องฟันธงว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” นี่แหละคือทางออก พอประมาณไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หน้าใหญ่ใจโต มือไม่เติบ มีเหตุมีผล ไม่ต้องไปหลงกระแส อยากได้หน้าจนต้องมีเมกกะโปรเจกท์ใหญ่ๆ แบบไม่ดูกระเป๋าตัวเอง!
อาจารย์ยักษ์ยังกังวลเมื่อได้ข่าวมาว่ารัฐบาลไทยอยากได้หน้าขอเป็นเจ้าภาพจัดงาน เวิลด์เอ็กซ์โปร ซึ่งปีนี้จีนเป็นเจ้าภาพจัดที่เซี่ยงไฮ้ ถ้ายังไงก็ลองดูบทเรียนจากกรีซก่อน เพราะกรีซก็ดีดลูกคิดแล้วว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก กรีซได้กำไรแน่นอน แต่กรีซลืมไปว่า กรีซมีแต่ข้าราชการอ้วนๆ ที่วันๆ เอาแต่นอนไม่ทำงาน ไร้ประสิทธิภาพ แถมกินหินกินทรายเก่ง โอลิมปิกก็เลยกลายเป็น “ไข้โป้ง” ทางเศรษฐกิจของกรีซไป
สิ่งที่น่ากังวลอีกอย่างที่เหมือนกันระหว่างกรีซกับไทยคือ เอะอะก็ “ขอกู้” ไว้ก่อน มีปัญญาจ่ายหรือเปล่าเอาไว้ให้เป็นปัญหาของรัฐบาลหน้า!
นโยบาย “ กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยการกู้นี่แหละที่เป็นต้นตอหนึ่งทำให้เศรษฐกิจกรีซพังพินาศ ขณะที่รัฐบาลไทยชูนโยบาย “เศรษฐกิจพอเพียง” ให้เป็นแนวทางดำรงชีวิตของประชาชน หนึ่งในคุณธรรมของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ การรู้จัก “พึ่งตนเอง”
จึงอยากให้รัฐบาลไทยในฐานะผู้นำ ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ด้วยการ “พึ่งตนเอง” และเลิกกู้เสียที
"อาจารย์ยักษ์ ณ มหาลัยคอกหมู"