ไลฟ์สไตล์

ผ่าอาถรรพณ์"เซ็นทรัลเวิลด์"ต้องคำสาป"วังเพ็ชรบูรณ์"

ผ่าอาถรรพณ์"เซ็นทรัลเวิลด์"ต้องคำสาป"วังเพ็ชรบูรณ์"

26 พ.ค. 2553

ทะเลเพลิงที่เผาผลาญห้างสรรพสินค้า "เซ็นทรัลเวิลด์" แม้จะมีการชี้เป้า-วางบิลว่าเป็นฝีมือของแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ซ้ำยังมีการสำทับจาก พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ว่า มีการเตรียมการมาก่อน และวางขั้นตอนเผาอย่างเป็นระบบ

 นั่นเป็นมุมมองเชิงประจักษ์ในทางวิทยาศาสตร์ แต่ในเชิงศาสตร์ลี้ลับแล้ว ความพินาศของห้างเซ็นทรัลเวิลด์มีความเกี่ยวพันอย่างยิ่งกับ "อาถรรพณ์วังเพ็ชรบูรณ์" ที่ทำให้กลุ่มทุนขนาดยักษ์ของไทยอย่าง "เตชะไพบูลย์" และ "จิราธิวัฒน์" ต้องกระอักเลือดมาแล้วด้วยกันทั้งคู่

 ยิ่งมีภาพรูปปั้นส่วนหัวของมนุษย์ที่มีดวงตาถลนแทบหลุดจากเบ้าตรงประตูทางเข้าห้าง โดยมีซากปรักหักพังของห้างเป็นฉากหลังก็ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของพื้นที่ที่ได้ชื่อว่า "เจ้าที่แรง" แม้จะมีการแก้เคล็ดมาแล้วหลายครั้ง!!

 วันนี้ห้างเวิลด์เทรดในฝั่งห้างเซน มอดไหม้จนเหลือแต่เถ้าถ่าน จึงทำให้เสียงเล่าลือเรื่องคำสาปดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง "คม ชัด ลึก" ได้มีโอกาสสนทนากับ ไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในชุดรัฐบาล คมช.

 ทว่า บทสนทนาไม่ได้ข้องแวะกับการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องคำสาปอาถรรพณ์ล้วนๆ ในฐานะที่คุณไพศาลเป็น "ประจักษ์พยาน" หนึ่งในสองคนที่ร่วมเปิด "พินัยกรรม" ของที่ดินผืนนี้ ทั้งยังมีความเชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์ลี้ลับชนิดที่หาจับตัวยากคนหนึ่ง

 เขาเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมฉบับนี้ว่า เมื่อประมาณ 30 กว่าปีก่อน มีเพื่อนทนายซึ่งรับใช้เจ้านายวังเพ็ชรบูรณ์ต้องการหาคนไปเป็นพยานในการเปิดพินัยกรรมฉบับดังกล่าว

 แต่มีข้อแม้สำคัญว่า คนที่จะไปร่วมเป็นพยานจะต้องเป็นคนที่เกิด "วันพฤหัสบดี" และจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับบ้าง

 ก่อนหน้านั้นเพื่อนของเขาพยายามหาทนายที่เกิดวันพฤหัสบดีไปเป็นเพื่อนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครอยากไป เพราะไม่อยากไปนั่งเป็นพยานในการเปิดพินัยกรรม แต่ตอนนั้นเขาเป็นทนายจบใหม่ และยังเกิดวันพฤหัสบดีด้วย พอเพื่อนคนนั้นมาชวนก็เลยตกปากรับคำไป

 "พอไปถึงก็มีผู้หลักผู้ใหญ่มานั่งรอเปิดพินัยกรรมเยอะมาก สาระหลักของพินัยกรรมฉบับนี้ระบุว่า ที่ดินแปลงนี้จะต้องตกทอดแก่ทายาทเท่านั้น และให้เป็นไปตามพินัยกรรมทุกประการ หลังจากนั้นที่ดินดังกล่าวก็มีการตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น"

 กระทั่งเมื่อที่ดินถูกโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จึงเริ่มมีการนำที่ดินออกประมูลเพื่อให้เช่าพัฒนา โดยตระกูลเตชะไพบูลย์ประมูลได้เป็นเจ้าแรก

 "ตอนปี 2532 ผมไปเรียนวปอ. และเจอทายาทตระกูลเตชะไพบูลย์ จึงได้เตือนไปว่า ที่ดินแปลงนี้มีคำสาปอยู่ ให้ไปแก้ไขให้ดี เขาก็บอกว่าไม่ห่วงหรอก เพราะคุณอุเทน เตชะไพบูลย์ มีความรู้เรื่องพวกนี้เยอะ และมีซินแสส่วนตัว หลังจากนั้นเขาก็ไปทำพิธีแก้ที่หัวมุมตึก และทำเนินดินขึ้นมาเหมือนฮวงซุ้ยเลย ทำเพื่อแก้ไขอะไรของเขาก็ไม่รู้ แต่น่าจะเป็นการแก้แบบจีน"

 แม้ตระกูลเตชะไพบูลย์จะทำพิธีแก้ไปแล้ว แต่ก็ต้องมาเจอกับวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 จนต้องเปลี่ยนเจ้าของเป็นตระกูลจิราธิวัฒน์ ซึ่งก็มีการเชิญพราหมณ์มาทำพิธี มีการตั้งศาลพระอินทร์ ศาลพระตรีมูรติ ศาลพระพิฆเนศ เพื่อแก้เคล็ด

 “เขาหวังว่าพอมีพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นเทพแห่งความสำเร็จก็จะดึงพลังจากพระพรหมมาหนุนด้วย แต่ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นจนได้ เพราะเป็นการแก้ไขไม่ถูกจุด"

 ไพศาล อธิบายว่า สาเหตุที่ไม่ถูกจุด เพราะที่ดินผืนนี้เป็นหนึ่งในที่ดินที่ "ต้องคำสาป" ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

 ที่ดินผืนแรก คือ "วังหน้า" อันเป็นที่ประทับของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งท่านทรงรักทรงหวงมาก ไม่อยากให้ตกเป็นสมบัติของคนอื่น จึงได้ทรงสาปแช่งเอาไว้

 "พระองค์ทรงทำพิธีสาปแช่งเอาไว้ว่า ถ้าผู้ใดที่มิใช่เชื้อสายมาเป็นเจ้าของครอบครอง ให้มีอันฉิบหายตายโหงสามชั่วโคตร และทรงอาราธนาสงฆ์สวดญัตติคำสาปด้วย จึงไม่มีใครกล้าครอบครองพื้นที่ดังกล่าว"

 ดังนั้น หลังเสด็จสวรรคตแล้วจึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าครอบครอง กระทั่งรัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกตำแหน่งวังหน้า หรือกรมพระราชวังบวรแล้ว ก็ไม่มีท่านผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง

 กระทั่งหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ทางราชการจึงปรับใช้เป็น "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ" มาจนทุกวันนี้

 ที่ดินผืนที่สองก็คือ วังเพ็ชรบูรณ์ ซึ่งเดิมเป็นของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ในรัชกาลที่ 5 เจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงกรมในพระนามว่า กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย และสิ้นพระชนม์ในปี 2466 ขณะมีพระชันษาเพียง 31 ปี

 โดยระหว่างทรงพระชนม์ รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานที่ดินตรงนี้สร้างวังให้ เรียกว่า วังเพ็ชรบูรณ์ จึงทรงปรารถนาให้ตกทอดเฉพาะเชื้อสายของพระองค์เท่านั้น เพราะทรงเกรงว่า ทายาทยังเล็ก หากทรงเป็นไปจะถูกผู้อื่นฉ้อโกงเอาไป

 พระองค์จึงทรงทำพิธีสาปโดยนัยทำนองเดียวกับคำสาปของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท แต่ทรงเชี่ยวชาญด้านศิลปะและดนตรี จึงมีน้ำพระทัยอ่อนผ่อนปรน ตั้งข้อยกเว้นไว้ว่า ในกาลเบื้องหน้า ถ้าผู้ใดมีน้ำใจเป็นกุศลใคร่ได้วังนี้ไปก็ต้องทดแทน

 พระองค์ทรงระบุในข้อยกเว้นแห่งคำสาปว่า จะต้องไปสร้าง "ศาลเจ้าพ่อเสือ" ในที่ดินแปลงหนึ่งที่รังสิต และให้มีโรงละคร ก็จะสามารถถอนคำสาปได้ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้จัดสร้างตามพระราชประสงค์ เพราะไม่มีใครเชื่อ

 ไพศาล ระบุว่า คำสาปชนิดนี้เป็นหนึ่งในจำพวก "อธิษฐานฤทธิ์" แต่ไม่ใช่ฤทธิ์ธรรมดา ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ในพุทธศาสนา แต่เป็นฤทธิ์จำพวกไสยเวท คือ มีการเชิญเทพ หรือภูต หรือวิญญาณกำกับให้เป็นตามคำสาป

 หลังผู้สาปสิ้นแล้วก็จะต้องมา "รักษาคำสาป" จนกว่าจะพ้นกรรมหรือมีผู้มารับหน้าที่แทน โดยคราวนี้มี 9 วิญญาณเข้ารับช่วงแล้ว และเหตุการณ์น่าจะยิ่งแรงกว่าเก่าก่อน

 ด้วยเหตุนี้ จึงมีเภทภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน เช่น บริษัทที่ออกแบบอยู่ดีๆ ก็เลิกกิจการไป หรือมีคนเสียชีวิต ส่วนมากจะตายเพราะเส้นเลือดสมองแตก

 ส่วนวิธีแก้จะแก้ด้วยวิธีฮวงจุ้ย หรือพิธีพราหมณ์ไม่ได้ เพราะคำสาปเมื่อสาปแล้วเขาก็จะฝากเทพารักษ์ หรือภูตวิญญาณให้กำกับดูแล

 เมื่อผู้สาปสิ้นไปแล้วก็จะต้องไปรักษาคำสาปอยู่จนกว่าจะมีคนมารับแทน ซึ่งจะคล้ายๆ กับกรณี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” นั่นเอง!!

ปัญญา ทิ้วสังวาลย์