ไลฟ์สไตล์

พระบดินทร์ สีลสังวโรพระผู้ปักธงธรรมจักรกลางชนเผ่า"ปกากะญอ"

พระบดินทร์ สีลสังวโรพระผู้ปักธงธรรมจักรกลางชนเผ่า"ปกากะญอ"

05 พ.ค. 2553

กะเหรี่ยงสกอร์ หรือกะหร่าง เป็นชื่อเรียกของ ชนเผ่าปกากะญอ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวกะเหรี่ยงที่มีวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ พื้นที่แถบลุ่มน้ำต่างๆ บริเวณเทือกเขาตะนาวศรี เขตชายแดนไทย-พม่า มีหลักฐานการอยู่อาศัยมานาน เป็นชนเผ่าดั้งเดิมที่อยู่อย่างกระจัดกระจายมา

 แต่เดิมชนเผ่าปกากะญอ จะนับถือผี เชื่อเรื่องต้นไม้ป่าใหญ่ ภายหลังหันมานับถือพุทธศาสนา เพิ่มขึ้นตามลำดับ

 ที่บ้านแม่กลางหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ชนเผ่าปกาเะญอที่เคยนับถือผีได้เปลี่ยนแปลงศรัทธาและความเชื่อมานับถือพุทธศาสนา ตามรอยศิษย์พระตถาคต บนดอยสูงเสียดฟ้ากว่า ๑,๐๐๐ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ด้วย พระบดินทร์ สีลสังวโร ธรรมยุตทายาทผู้กล้าแกร่งและอาจหาญไปเดินย่ำดอยบิณฑบาตอย่างมิคาดหวัง พลางรำพึงในใจ "จะมีชนเผ่าเขาตักบาตรไหมหนอ" 

 พระบดินทร์ เล่าให้ฟังว่า เดิมทีนั้นเป็นคนบ้านนาเหลืองนอก อ.เวียงสา จ.น่าน หลังการศึกษาทางโลกจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แล้วไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ไม่จบการศึกษาปริญญาใดๆ จากนั้นก็บวชเป็นพระเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ ที่วัดป่าบ้านนามน อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร หลังจากสอบนักธรรมเอกได้แล้ว ออกจาริกแสวงบุญไปทั่วทั้งภาคอีสานและภาคเหนือ 

 ในที่สุด มาเซ่ เณรลูกศิษย์องค์หนึ่งซึ่งเป็นชนเผ่าปกากะญอ บ้านแม่กลางหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ นิมนต์มาจำพรรษาที่บ้านเกิดของเขาเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙

 โดยมาจำพรรษาครั้งแรกที่ผาหน้าผี เหนือหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สวนของผู้ช่วยอุ่น (พงษ์ศักดิ์ วนาลัยนิเทศน์) โดยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ นิมนต์มา ท่านเลือกพื้นที่ตรงนี้ให้สูงจากระดับน้ำทะเล มากกว่า ๑,๐๐๐ เมตร รายล้อมไปด้วยป่าไม้หนาแน่น โดยเข้าในโครงการพุทธอุทยาน

 “แม้สำนักสงฆ์จะตั้งอยู่ห่างไกลชุมชนหน่อย ลงไปบิณฑบาตครั้งแรกก็อย่างที่เล่าให้ฟังว่า เดินบิณฑบาตไปก็รำพึงในใจว่าจะมีชนเผ่าเขาตักบาตรไหมหนอ เมื่อออกบิณฑบาตชนเผ่าปกากะญอก็ออกมาทำบุญใส่บาตร โดยออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ทุกวัน ยกเว้นวันพระ ๑๕ ค่ำ จะทำบุญร่วมกันที่ศาลาการเปรียญหลังนี้” พระบดินทร์ กล่าว

 พร้อมกันนี้ พระบดินทร์ ยังบอกด้วยว่า วันนี้มีพระสงฆ์อยู่ ๒ รูป เณรบวชใหม่ ๑๕ รูป กำลังจะสึกแล้ว และจะเหลือเพียง ๒ รูปเท่านั้น แต่ก็มีพระธุดงค์วนเวียนมาจำวัดที่นี่บ่อยๆ เคยมีพระธุดงค์หลายรูปเพียรพยายามจะชวนเชิญชาวปกากะญอให้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ไม่สำเร็จจนอาตมามาอยู่ถึงได้สำเร็จ

 ที่นี่เป็นเพียงที่พักสงฆ์ ไม่ใช่วัด ศาลาหลังใหญ่นี่ก็เพื่อรองรับญาติโยมที่เข้ามาทำบุญ ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม น่าจะรองรับได้ ๓๐๐-๔๐๐ คน บนดอยเหนือศาลามีกุฏิสงฆ์อยู่ ๒ หลัง เป็นกระท่อมมุงด้วยใบตองตึง ขนาด ๔x๔ เมตร ห้องสุขา ๑ หลัง ส่วนหลังกลางเป็นเรือนร้อน มีห้องอบสมุนไพรให้สงฆ์ และยามบ่ายคล้อยใช้เป็นที่ดื่มน้ำปานะ

 ส่วนข้อมูลการนับศาสนานั้น ชนเผ่าปกากะญอบ้านแม่กลางหลวง ๖๗ หลังคาเรือน วันนี้เป็นผู้ศรัทธาพุทธศาสนา ๖๑ หลังคาเรือน อีก ๖ หลังคาเรือนนับถือศาสนาคริสต์

 ชาวบ้านให้ความร่วมมือกับวัดมาก เช่น ร่วมกันบวชต้นไม้รอบๆ พื้นที่ที่พักสงฆ์กว่า ๓๐๐ ไร่ ปลูกต้นไม้แซมในที่ว่างเปล่า พร้อมปักป้ายชื่อผู้ปลูกไว้เป็นอนุสรณ์ เขาจะได้หวงแหนและภูมิใจ

 ในหมู่บ้านแม่กลางหลวงแห่งนี้ ส่วนใหญ่ชาวปกากะญอทำนาขั้นบันได ปลูกข้าวไว้กินปีละครั้งเดียว เว้นว่างจากไร่นาก็ทำสวนไม้ดอกไม้ประดับ ตัดดอกขายเป็นรายได้เสริม บนนาขั้นบันไดที่ว่างเปล่า น้ำได้จากระบบคลองส่งน้ำจากระบบเหมืองฝายตามภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ที่บ้านแม่กลางหลวงแห่งนี้ โชคดีมากที่มีน้ำตกผาดอกเสี้ยวสูง ๑๑ ชั้น ปริมาณน้ำที่ไหลหลั่งถะถั่งดังกับเทวดาราดน้ำลงมาให้

   นอกจากนั้นก็เทศนาธรรม ตั้งชมรมคนรักสายธารา อนุรักษ์แม่น้ำลำคลอง และสิ่งแวดล้อม เช่นทำแนวกันไฟป่า อนุรักษ์ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตชนเผ่า ให้ดำรงอยู่สืบไป มาเซ่เป็นประธานชมรม น้ำจึงมีความอุดมสมบูรณ์ตลอดปี แม้แต่ในฤดูแล้ง

 ส่วนปัญหาในวันข้างหน้า วัดก็จะเจริญเติบโต เช่น มีวัดทั่วไปเกิดขึ้น มีศาลาการเปรียญ กุฏิ หอฉัน โบสถ์ และสิ่งปลูกสร้างมากมาย ตามที่ญาติโยมมุ่งมาอุทิศให้

 เรื่องนี้พระบดินทร์ให้คำมั่นว่า “จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ป่าจะยังเป็นป่า และจะใช้เพียงหลักธรรมคำสอนมากกว่าใช้วัตถุ อาตมาขอรับรองว่าจะไม่เกิดอย่างที่โยมหวั่นเกรงแน่นอน"
                      
   คติความเชื่อแห่งปกากะญอเชื่อ

 ชนเผ่าปกากะญอ เชื่อว่าคนแต่ละคนจะมีวิญญาณ ก่อนจะเกิดมาบนโลก วิญญาณจะมีอยู่ก่อนแล้ว โดยอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ เมื่อถึงเวลาจะเกิดมาในโลกมนุษย์คนคนนั้นต้องไปนัดหมาย

 คำว่า โลกมนุษย์ หรือ ปกา ซู โค่ โพ หมายถึงมนุษย์ที่อยู่บนโลกที่ประกอบด้วยวิญญาณและร่างกาย ซึ่งสามารถพบเห็นกันเหมือนทุกวันนี้

  โลกวิญญาณ (ยมโลก) หรือ ปลือ ปู ชนเผ่าปกากะญอเชื่อว่า สถานที่อันเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าวิญญาณที่หลุดออกจากร่างกายของผู้ตายแล้ว เป็นสถานที่ที่วิญญาณรอคอยว่าตนเองจะขึ้นสู่สวรรค์หรือลงนรกต่อไป

  วิญญาณบรรพบุรุษ หรือ ซิโค่ หมื่อฆา ชนเผ่าปกากะญอเชื่อว่า บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว วิญญาณของพวกท่านเหล่านั้นที่ยังมีความเป็นห่วงเป็นใย และคอยคุ้มครองป้องกันภัยแก่ลูกหลานอยู่ ดังนั้นเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ลูกหลานที่อยู่บนโลกมนุษย์ จะทำพิธีบก๊ะ และเรียกวิญญาณบรรพบุรษมาร่วมพิธี และรับประทานอาหาร ทั้งนี้ เพื่อขอพวกท่านมาช่วยเยียวยารักษาให้พวกเขาหายจากโรค

 เปรต หรือ นาจิ๊ นา จิ๊ เทาะ ชนเผ่าปกากะญอ เชื่อว่าดวงวิญญาณของหนุ่มสาวที่เสียชีวิตก่อน โดยที่ยังไม่แต่งงาน หรือคนเฒ่าคนแก่ที่พลาดหวังจากการแต่งงาน เนื่องจากพวกเขาไม่มีลูกหลานอยู่บนโลก ทำให้พวกเขาไม่ได้กินข้าวปลาอาหาร และไม่ได้กินดีอยู่ดี ซึ่งมีสภาวะที่ตรงกันข้ามกับวิญญาณบรรพบุรุษ ที่ลูกหลานจะทำพิธีบก๊ะ และเรียกท่านมารับประทานอาหารอยู่เสมอ

  สวรรค์ หรือ ดู เตอะ วอ ชนเผ่าปกากะญอ เชื่อว่าสถานที่เปี่ยมด้วยความสงบสุขอย่างสมบูรณ์ในโลกวิญญาณ ผู้ที่อยู่บนโลกและประกอบแต่คุณงามความดี เมื่อเสียชีวิตแล้ววิญญาณของพวกเขาก็จะกลับไปอยู่ ณ สวรรค์แห่งนี้

 นรก หรือ ดู ลอ หร่า ชนเผ่าปกากะญอ เชื่อว่าสถานแห่งการทนทุกข์ทรมาน บุคคลใดๆ ที่ประกอบความชั่วช้าขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลก เมื่อเสียชีวิตลงดวงวิญญาณก็ออกจากร่างกาย แล้วก็จะกลับไปอยู่ในนรกนี้ตลอดชั่วนิรันดร์

0 เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู / ภาพ ธงชัย เปาอินทร์ 0