
เล่นหูเล่นตา-ก้มหน้า (I)
ก้มหน้าก้มตา ช่างให้ความรู้สึกจดจ่อ หมกหมุ่น ลามไปถึง หดหู่ น่าน้อยใจเล็กๆ เมื่อเหลือเพียง ก้มหน้า มันไปกันคนละทางกับคำว่า แหงนหน้า เงยหน้า ที่ให้ทั้งความหวังและกำลังใจ แต่ถึงอย่างไรฉันก็แอบชอบคำว่า "ก้มหน้า อยู่ดี
เวลาที่เรารู้สึกไม่ปลอดภัย หรือต้องการซ่อนอารมณ์และความรู้สึกบางอย่างไว้กับตัวเองคนเดียว เรามักจะก้มหน้า ช่วงเวลานั้นมันเกิดความรู้สึกปลอดภัยและรอดพ้นอยู่กรายๆ ใครจะกล้าปฏิเสธว่า ในข้อเสีย (บางอย่าง) มันไม่มีข้อดีซุกซ่อนอยู่...มันคือ บันไดหนีไฟของคนใช้ลิฟต์เลยเชียวแหละ
เมื่อก่อนเวลาที่ฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันจะก้มหน้ามองหัวแม่เท้าโตๆ 2 ข้าง (ที่ได้รับถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมมาจากยายเต็มๆ) แล้วเริ่มอาการดราม่า น้ำตาหยดแหมะใส่หัวแม่ตีนตัวเอง
“หน้าก็แย่ แก่ก็แก่ ยังไปได้ไม่ถึงไหน...เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ แล้วใครๆ ก็จะลืมกันไป...” (ดราม่ามั้ยล่ะ?)
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันได้เข้าใจในวัฏจักรและสัจธรรมของคนเต้นกินรำกิน ฉันก็เปลี่ยนความคิดเป็นว่า...
“ไม่มีเวลาให้น้อยใจ จงทำทุกอย่างด้วยความภาคภูมิใจ เหมือนเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่ได้ทำในวันสุดท้ายของชีวิต...(จำมาจากหนังหลายเรื่อง ไม่ได้คิดได้เอง...ไม่ฉลาดขนาดนั้น!)
ดังนั้นทุกวันนี้ เมื่อไหร่ที่ฉันได้โอกาส “ก้มหน้า” มันจึงเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว มันทำให้ฉันได้กลับเข้าสู่ “ตัวตนที่แท้จริง” ได้หยุดคิดพิจารณาและไตร่ตรองในสิ่งที่ไม่มีโอกาสได้คิดในเวลาปกติ ซึ่งต้องเชิดหน้า หรือแหงนหน้า แบกรับภาระต่างๆ ท่ามกลางผู้คนในสังคมเพื่อให้ได้ชื่อว่า...ปกติคนเมือง (หลวง)...ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเพื่อความอยู่รอด
ปกติตกกลางคืนก่อนดูทีวีหรือเขียนต้นฉบับ ฉันจะหยิบเครื่องคิดเลขอันใหญ่เท่าหน้าฉัน (แสดงว่าใหญ่มาก) มาก้มหน้าก้มตา กดๆๆๆๆๆ คิดตัวเลขรายรับของสิ้นเดือน หรือบางทีก็คาดหวังเอาคร่าวๆ กับทั้งปี แล้วแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนจะมีใครมาขอ คล้ายๆ กับผู้ชายโทรมาง้อ เปล่า!...แค่คิดไปเอง บางคืนคิดๆ อยู่จู่ๆ สีเกดและนุชนาฎ สองผู้ช่วยก็จะโทรมา
“พี่คะ...ลูกค้าขอเลื่อนไปก่อน เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองไม่แน่นอน เขากลัว จัดแล้วไม่มีใครมางาน”
“พี่คะ...ลูกค้าขอแคนเซิล (ยกเลิก) งานวันพรุ่งนี้ เพราะประธานของงานเสียชีวิตกะทันหันเมื่อวาน" (โธ่...จะหายใจต่ออีกสักวันก็ไม่ได้)
สารพัดเหตุผลอันควรสำหรับคนอื่น แต่มิควรเป็นอย่างยิ่งสำหรับฉันที่กำลังหมกหมุ่นกับตัวเลขยิ่งกว่าแม่ค้าข้าวแกงที่เพิ่งเก็บร้าน ตัวเลขลดฮวบฮาบเหมือนคนเสียน้ำจากอาการขี้แตกขี้แตน
ทุกคืนที่เป็นอยู่ยังกู่ร้องก้องหัวตัวเองว่า
“เอาพารากอนกับเซ็นทรัลเวิลด์ของกูคืนมา! ไอ้บ้า!”
ทำให้ไม่ได้ก้มหน้ากดตัวเลขบนเครื่องคิดเลขอยู่เกือบเดือน แทนที่จะกลับรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้ละจากความคาดหวังและความละโมบโลภมากในวิถีชีวิตอันเคยชินของตัวเอง ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ที่แก่เฒ่า พี่น้อง หลานๆ และหมาๆ แบบที่ฝันไว้ตอนแก่ เพียงแค่เวลานั้นมันมาเร็วไปหน่อย เอาเป็นว่า สถานการณ์บ้านเมืองบังคับก็แล้วกัน
“ป๊า...แม่...วันนี้อยากกินอะไร ?”
ถามไปอย่างนั้น ไอ้ที่ฉันอยากทำได้คิดไว้ในใจก่อนหน้านั้นแล้ว หิ้วถุงผ้าขึ้นรถและขับไปตลาด จ่ายกับข้าวกับปลามาใส่ตู้เย็นจนตู้เย็นจะอ้วก ไม่เกี่ยวกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ซื้อเพราะความเคยชิน ซื้อน้อยๆ ไม่เป็น แต่ก็ดีที่แม้แม่ฉันจะค้อน พี่สาวจะค่อนขอดว่าทำยังกับจะเกิดสงคราม แต่ฉันก็เป็นขวัญใจแม่ค้า...ซื้อแหลก! จนสีเกดเคยว่า
“อย่าให้นางเข้าใกล้ หมา ญาติ และตลาด” (คราวหน้าจะเล่าให้ฟัง)
กลับจากตลาดฉันก็จะก้มหน้าอยู่กับเขียง เป็นช่วงเวลาที่เหมือนถูกสะกดจิต หน้ากับเขียงไม่รู้อะไรใหญ่กว่ากัน...ใครจะสน...ฉันง่วนอยู่กับการฝาน ซอย หั่น สับ ทุบ ตำ อย่างเมามัน นานๆ ทีจะหันไปทะเลาะกับนกกระตั้วสีขาวปากเหลือง ที่แหกปากลั่นอยู่บนขื่อเล็กๆ คนผ่านไปมาคงคิดว่าฉันทะเลาะกับผัวเก่าอยู่หลังบ้าน...นกเวร!
โปรดติดตามตอนต่อไป
เจนนิเฟอร์ คิ้ม