
รพ.จุฬาย้ายคนไข้หนีแดงช็อกยื้อชีวิต
รพ.จุฬาฯ ย้ายผู้ป่วยหนีม็อบโกลาหล แม่เด็กปล่อยโฮ ลูกป่วยมะเร็งต้องอพยพหนี ด้านเฒ่าวัย 70 ช็อกระหว่างขนย้ายกลางทาง-ปั๊มหัวใจยื้อชีวิต อาการยังโคม่า "ศิริราช" ทูลเชิญเสด็จสมเด็จพระสังฆราชประทับรักษาพระองค์ "มาร์ค" ชี้โลกประณาม สั่งจัดการตาม ก.ม. "หมอจุฬาฯ"
ภายหลังเกิดเหตุกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง บุกเข้าไปใน รพ.จุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา อ้างว่าเพื่อต้องการตรวจค้นหาเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะเชื่อว่ามีการตั้งกองกำลังอยู่ภายในโรงพยาบาล แต่ผลการตรวจค้นไม่พบอะไร ทำให้หลายฝ่ายออกมาประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่แกนนำ นปช.ได้ออกมาขอโทษ และรับปากว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก ขณะเดียวกันในส่วนของ รพ.จุฬาฯ ก็มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อความปลอดภัยของคนไข้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เช้าวันที่ 30 เมษายน แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ช่วยกันอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลไปยังโรงพยาบาลอื่น เช่น รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี รพ.ราชวิถี โรงพยาบาลในสังกัด กทม. เป็นต้น เพื่อความปลอดภัยของคนไข้และญาติ ทั้งนี้ คนไข้ที่ย้ายส่วนใหญ่เป็นคนไข้ที่รักษาตัวในอาคารผู้ป่วย เช่น ตึก สก ที่มีผู้ป่วยเด็ก ผู้ป่วยโรคหัวใจ, ตึก ภปร ซึ่งเป็นตึกผู้ป่วยนอก รวมทั้งตึกคัคณางค์ และตึกนวมินทราชินี ซึ่งเป็นตึกผู้ป่วยใน ที่มีผู้ป่วยทั้งที่อยู่ในอาการขั้นโคม่า และผู้ป่วยธรรมดา เนื่องจากโรงพยาบาลประกาศปิดรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั่วไปอย่างไม่มีกำหนด ภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกค้นโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา โดยทางโรงพยาบาลจะรักษาเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น จนกว่า
เหตุการณ์ความไม่สงบจะคลี่คลาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขนย้ายผู้ป่วยครั้งนี้ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยที่อาการหนักหลายราย อย่างเด็กหญิงอายุประมาณ 1 เดือน ที่ป่วยหลอดเลือดหัวใจ มีอาการค่อนข้างหนัก ต้องถูกนำออกมาจากห้องไอซียู ขณะที่ผู้ปกครองมีน้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลาและบอกว่าจะนำไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในจังหวัดบ้านเกิด
ขณะเดียวกันยังมีเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ชื่อ ด.ญ.อรนัท อายุ 7 ขวบ ต้องถูกย้ายออกอย่างโกลาหล หลังเข้ารับการรักษาที่ รพ.จุฬาฯ มาประมาณ 2 ปีแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบน้องอรนัทก็ต้องถูกย้ายกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลในต่างจังหวัด ทั้งที่อาการหนักน่าเป็นห่วง โดยแม่ของน้องอรนัทได้แต่ร้องไห้ตลอดเวลาขณะขนย้าย เนื่องจากเกรงว่าลูกสาวจะได้รับอันตราย
ด.ญ.กาญชนิต์ พวงแก้ว อายุ 1 ขวบ ซึ่งป่วยเป็นโรคตับ ม้ามโต ตัวเหลืองซีด มารดาของหนูน้อยกล่าวว่า อยู่โรงพยาบาลมาเกือบ 10 วัน แต่ต้องถูกย้ายออกไป โดยหมอนัดให้มาใหม่วันที่ 13 พฤษภาคม แต่ตนกลัวว่าลูกจะมีอาการหนัก หากลูกเป็นก่อนก็จะพามาหาหมออีกที
นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยชราที่เป็นโรคประจำตัวและอยู่ในห้องไอซียูอีกหลายราย ที่จะต้องขนย้ายเช่นกัน และยังมีเด็กแรกเกิดแฝดสี่ รวมถึงเด็กที่อยู่ในอาการโคม่า ที่ต้องคอยปั๊มหัวใจให้ออกซิเจนตลอดเวลา ซึ่งทุกคนล้วนอาการหนักทั้งสิ้น
นางลั่นทม รอดเพราะบุญ ย่าของ ด.ญ.อาริยา รอดเพราะบุญ ซึ่งป่วยจากสำลักน้ำคร่ำ คลอดมาเพียง 1 วัน บอกว่า หลานคลอดที่โรงพยาบาลในจ.สมุทรปราการ แต่พอหลานมีอาการสำลักน้ำคร่ำ หายใจเองไม่ได้ จึงถูกส่งต่อมาที่ รพ.จุฬาฯ แต่ถึงตอนนี้ยังหาโรงพยาบาลรองรับไม่ได้ เพราะเด็กอาการหนักมาก ยังเคลื่อนย้ายไม่ได้ การเดินทางก็ลำบาก เพราะมีการปิดถนนทำให้เดือดร้อน
เฒ่าวัย 70 ช็อกระหว่างขนย้าย
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าระหว่างการขนย้ายผู้ป่วยชายอายุ 70 ปี ที่กำลังเคลื่อนย้ายไปรักษาตัวที่ รพ.บำราศนราดูร จ.นนทบุรี มีอาการหอบ หายใจติดขัด เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปยัง รพ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่น ขณะนี้คนไข้ยังคงอยู่ในห้องไอซียู
นพ.จักรกริช โง้วศิริ รอง ผอ.รพ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่น กล่าวว่า อาการของชายอายุ 70 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งทางเดินอาหาร ครั้งแรก รพ.จุฬาลงกรณ์ จะส่งไปรับ รพ.บำราศนราดูร แต่เกิดหยุดหายใจกะทันหัน จึงส่งต่อมาให้ทำการกู้ชีพ ซึ่งแพทย์ได้ปั๊มหัวใจ กู้ชีพ เป็นเวลา 15-20 นาที ผู้ป่วยจึงมีสัญญาณชีพกลับมาเป็นปกติ แพทย์จึงแนะนำญาติให้ผู้ป่วยนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน เพื่อดูอาการ ซึ่งญาติก็ยินยอม โดยแพทย์ให้พักรักษาตัวที่ห้องไอซียู อาการทั่วไปทรงตัว ผู้ป่วยยังไม่ได้สติ ไม่มีอาการตอบสนองใดๆ แต่หัวใจเต้นแล้ว ยังไม่สามารถบอกได้ว่าสมองตายหรือไม่ ต้องดูอาการอย่างน้อย 24 ชั่วโมงจึงจะประเมินอาการได้
พยาบาลถือป้ายวอนม็อบเลิกบุก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มนางพยาบาลและพนักงานเจ้าหน้าที่ของ รพ.จุฬาฯ พากันถือป้ายเขียนข้อความว่า "รพ.จุฬาฯ-สภากาชาดไทย เป็นกลาง ยึดถือหน้าที่การดูแลผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด โดยไม่แบ่งแยก โปรดอย่ามารุกล้ำการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ของพวกเรา"
นอกจากนี้ กลุ่มนางพยาบาลยังแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด รู้สึกว่าไม่สมควร เนื่องจากมีคนไข้หลายคนที่รอการรักษา แต่ไม่สามารถรักษาได้เต็มที่ เพราะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ หรือแม้แต่คนไข้เอง ต้องคอยระวัง และหมอบหลบกระสุนปืน ทำงานมานานไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ อยากให้เข้าใจเสียใหม่ถึงการก้าวล้ำเข้ามาในโรงพยาบาลนั้นถูกต้องหรือไม่
เผยเหมือนทำงานในสนามรบ
ฝ่ายการพยาบาล รพ.จุฬาฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ย้ายผู้ป่วยจิตเวชจำนวน 14 ราย ไปโรงพยาบาลอื่น หรือให้กลับบ้านไปก่อน เนื่องจากเสียงดังจากผู้ชุมนุมทำให้ผู้ป่วยหงุดหงิด สับสน เดินค้นหาที่มาของเสียงว่ามาจากไหน ทำให้การดูแลลำบากมาก ต้องให้เจ้าหน้าที่คอยเดินตาม แม้เวลาจะเข้าห้องน้ำก็ต้องตามไปด้วย เนื่องจากเกรงว่าผู้ป่วยจะคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเองและผู้อื่นได้ เพราะตึกจิตเวชอยู่ฝั่งถนนราชดำริ ใกล้กับสถานที่ชุมนุม
"พวกเราทำงานเหมือนอยู่ในสนามรบ ทุกคืนก่อนนอนหรือเดินทางกลับบ้านต้องเดินตรวจดูความเรียบร้อยรอบๆ โรงพยาบาลก่อน ถ้าวันไหนเหตุการณ์ที่ชุมนุมตึงเครียดก็ต้องนอนดึกไปด้วย เพราะพวกเราอยู่ด่านหน้า ต้องคอยดูคนไข้ ด้านหน้าโรงพยาบาลก็สกปรกมาก มีทั้งกลิ่นขยะและปัสสาวะ อยากให้ กทม.นำน้ำมาฉีด แต่กลัวคนเสื้อแดงมองว่าทางโรงพยาบาลฉีดน้ำไล่ เราไม่เข้าใจ ทำไมต้องเข้ามาค้นในโรงพยาบาล บางครั้งก็นำท่อนเหล็กมาเดินอยู่ด้านในโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยและพยาบาลตกใจกันมาก" ฝ่ายการพยาบาล รพ.จุฬาฯ กล่าว
ศิริราชทูลเชิญพระสังฆราช
รศ.นพ.สุรินทร์ ธนพิพัฒนศิริ ผู้อำนวยการ รพ.ศิริราช พร้อมด้วย นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมแถลงข่าวถึงการรับส่งต่อผู้ป่วยจาก รพ.จุฬาลงกรณ์ว่า รพ.ศิริราชมีความยินดี และพร้อมรับส่งต่อผู้ป่วยเท่าที่ รพ.ศิริราชจะอำนวยได้
นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้น คณะแพทย์ รพ.ศิริราช และ รพ.จุฬาลงกรณ์ ได้ร่วมหารือกัน และเห็นสมควรที่จะทูลเชิญเสด็จ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งประทับรักษาพระองค์อยู่ที่ รพ.จุฬาฯ มาประทับรักษาพระองค์ ณ ตึก 84 ปี รพ.ศิริราช โดยการถวายการรักษาจะเป็นการปรึกษาหารือและปฏิบัติงานร่วมกันของคณะแพทย์ทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากสมเด็จพระสังฆราชที่จะเสด็จมาแล้ว ยังมีผู้ป่วยอีก 26 ราย เป็น แผนกอายุรกรรม 18 ราย ศัลยกรรม 5 ราย โรคกระดูก 2 ราย และสูติกรรม 1 ราย
รองผอ.จุฬาฯชี้ม็อบคุกคามไร้อารยะ
ศ.นพ.สมรัตน์ จารุลักษณานันท์ รองผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ กล่าวว่า เมื่อสองวันที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลได้ย้ายผู้ป่วยจากตึก สก และตึก ภปร ไปพักรักษาตัวในตึกที่อยู่ห่างไกลจากจุดชุมนุมจำนวน 254 ราย เราทำงานในภาวการณ์ถูกคุกคามเช่นนี้มาเป็นสัปดาห์แล้ว เพราะมีความยากลำบากในการย้ายผู้ป่วยหรือการเข้าห้องฉุกเฉิน เพราะคนใช้บริการอาจเป็นเขาเองก็ได้ หรือทหาร ตำรวจ คนทั่วไป เราก็ทำเพื่อเขา แต่ก็ถูกคุกคามด้วยวิธีการที่ไม่เป็นอารยะ
"ถือเป็นเรื่องใหม่ ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของ รพ.จุฬาฯ ที่ตั้งมา 96 ปี โรงพยาบาลเคยถูกยึดโดยกองทัพญี่ปุ่นเมื่อสมัยสงครามโลก แต่เราก็บอกว่าเราเป็นโรงพยาบาลของสภากาชาดไทย ซึ่งเขาก็เคารพ ทางโรงพยาบาลได้แบ่งตึกให้เขาทำการสองตึก แต่ไม่มีการลดธงสภากาชาดไทยและธงไทย ครั้งนี้ก็จะเป็นประวัติศาสตร์ว่าจะถูกยึด ก็ให้ประชาชนดูพฤติกรรม หากประเทศเรามืออาชีพมากกว่านี้ คงไม่มีวันนี้" รองผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ กล่าว
ยอดย้ายผู้ป่วยรพ.จุฬาฯ 129 ราย
ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร รายงานจำนวนผู้ป่วยเบื้องต้นที่รับย้ายจาก รพ.จุฬาฯ ณ เวลา 15.00 น. วันที่ 30 เมษายน 2553 จำนวนทั้งสิ้น 129 ราย แบ่งเป็น 1.วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล 8 ราย 2.รพ.กลาง 8 ราย มีผู้ป่วยใส่ท่อหายใจ 2 ราย 3.รพ.ตากสิน 11 ราย ไอซียู 1 ราย 4.รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ 9 ราย ไอซียู 2 ราย 5.รพ.เวชการุณย์รัศมิ์ 1 ราย รอย้ายอีก 1 ราย 6.รพ.ลาดกระบังกรุงเทพมหานคร 1 ราย 7.รพ.สิรินธร 8 ราย 8.รพ.กรุงเทพคริสเตียน 1 ราย 9.รพ.นพรัตนราชธานี 14 ราย 10.รพ.เลิดสิน 3 ราย
11.รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า 3 ราย 12.รพ.หัวเฉียว 2 ราย 13.รพ.ธรรมศาสตร์ 13 ราย 14.รพ.เซนต์หลุยส์ 4 ราย ผู้ป่วยซีซียู 1 ราย 15.รพ.ราชวิถี 8 ราย ใส่ท่อหายใจ 3 ราย รอย้าย 10 ราย 16.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี 6 ราย รอย้ายอีก 4 ราย 17.รพ.ทรวงอก 1 ราย รอย้ายอีก 1 ราย 18.รพ.รามาธิบดี 2 ราย 19. รพ.มเหสักข์ 3 ราย 20. รพ.บีเอ็นเอช 2 ราย 21.รพ.แพทย์ปัญญา 2 ราย 22.รพ.จุฬาภรณ์ 1 ราย 23 รพ.วิภาราม 1 ราย 24.รพ.ศิริราช 10 ราย ไอซียู 2 ราย 25.รพ.บำรุงราษฎร์ 1 ราย อยู่ไอซียู 26.รพ.บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล 4 ราย และรพ.รามคำแหง 2 ราย
ทั้งนี้ เช้าวันที่ 30 เมษายน มีผู้ป่วยในอยู่ในโรงพยาบาลจุฬาฯ 600 ราย ให้กลับบ้านไป 100 ราย และย้ายโรงพยาบาล 129 ราย เหลือผู้ป่วยในประมาณ 371 ราย
รพ.จุฬาฯ-กาชาดยันเป็นกลาง
นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารสภากาชาดไทย อาทิ นายเตช บุนนาค นายสวนิต คงสิริ ศ.นพ.ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย และ ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ ร่วมแถลงข่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. โดยนายแผนกล่าวว่า รพ.จุฬาฯ เป็นส่วนหนึ่งของสภากาชาดไทย ที่ยึดหลักมนุษยธรรมเพื่อคุ้มครองชีวิตและสุขภาพประชาชน โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา ไม่ลำเอียง ไม่มีการแบ่งแยก ซึ่งรวมถึงความคิดเห็นทางการเมือง โดยจะยึดความเป็นกลาง เพราะกาชาดไม่อาจเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ว่ากรณีใด มีความอิสระในการดำเนินการ ถือเป็นหลักการที่ต้องดำเนินการตลอด
ศ.นพ.อดิศรกล่าวว่า รพ.จุฬาฯ ยึดหลักการกาชาดที่ต้องเป็นกลาง และให้การรักษาผู้ป่วยทุกคนไม่ว่าจะมาจากเหตุการณ์ใด กลุ่มไหน แต่เมื่อเข้ามายังโรงพยาบาลแล้วจะให้การรักษาเหมือนกันหมด ขอยืนยันว่า เราไม่เคยอนุญาตหรือร้องขอให้ทหารหรือตำรวจเข้ามาอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลตามที่มีการกล่าวอ้าง
เผยพระสังฆราชไม่ทรงรู้สึกกลัว
ศ.นพ.อดิศร กล่าวว่า การถวายการรักษาแด่สมเด็จพระสังฆราชนั้น เบื้องต้นได้ประสานไปยัง นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อเตรียมการรองรับแล้ว ทั้งนี้ในช่วงที่มีการชุมนุมของ นปช.และมีเสียงดังนั้น สมเด็จพระสังฆราชมีพระดำรัสว่า ไม่รู้สึกกลัว และทางคณะสงฆ์ก็บอกว่าไม่เป็นไร ยังไม่ต้องย้ายอาคาร แต่พอมีการปะทะที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จึงได้ประเมินสถานการณ์ใหม่ และเห็นควรให้ย้ายสถานที่ประทับไปยังอาคารอื่นเพื่อความปลอดภัย
ผอ.รพ.จุฬาฯไม่วิตกถูกล่าชื่อปลด
ศ.นพ.อดิศรยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า มีแพทย์ในโรงพยาบาลจุฬาฯ ล่ารายชื่อเพื่อปลดออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล เนื่องจากปล่อยให้ผู้ชุมนุมเข้ามาตรวจค้นโรงพยาบาลว่า ยืนยันว่าได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว หากไม่เจรจาให้ส่งตัวแทนเข้ามาตรวจค้นอาจทำให้มีการบุกค้นอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียตามมามากกว่า ดังนั้นเพื่อความบริสุทธิ์ใจและโปร่งใสของโรงพยาบาล จึงให้ส่งตัวแทน นปช.เข้ามาแทน หากแพทย์ไม่พอใจ และจะล่ารายชื่อ ก็คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
นปช.โยนบุกจุฬาฯไม่ใช่มติแกนนำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์ที่นายพายัพ ปั้นเกตุ นำมวลชน นปช.และคนเสื้อแดงบุก รพ.จุฬาฯ เพื่อค้นหาทหารเมื่อวานนี้ (29 เม.ย.) ปรากฏว่าสร้างความไม่พอใจให้แก่แกนนำ นปช.คนอื่นๆ เป็นอย่างมาก มีการตักเตือนนายพายัพว่า กระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า มติของแกนนำ นปช.วันนี้จะไม่มีเคลื่อนไหวไป รพ.จุฬาฯ อีก เพราะทำให้ภาพลักษณ์ นปช.เสียหายเป็นอย่างมาก ถือว่าขัดแนวทางของ นปช.ที่ยึดหลักการจะไม่บุกเข้าสถานที่ราชการ การเคลื่อนไหวของนายพายัพเป็นการตัดสินใจของคนคนเดียว ไม่ได้มีการวางแผนร่วมกับแกนนำ ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะไปท้าทายนักข่าวว่าจะไปตรวจภายใน 10 นาที จึงเกิดปัญหา ได้ตักเตือนนายพายัพแล้ว และวันนี้ นปช.จะทำหนังสือขอโทษ รพ.จุฬาฯ ที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ
"เหวง"ขอโทษรพ.-รับปากไม่ให้มีบุกอีก
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าใจว่านายพายัพต้องการพาสื่อมวลชนไม่กี่คนไปที่โรงพยาบาลเท่านั้น ไม่นึกว่าจะพาคนไปมากขนาดนั้น ซึ่งระหว่างเหตุการณ์ตนก็พูดคุยกับผู้ใหญ่ในโรงพยาบาลตลอด และสั่งการให้นายพายัพรีบนำคนออกมา โดยส่งนายสุภรณ์ไปเรียกคนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม ไม่อยากโทษนายพายัพ เพราะเชื่อว่าคงไม่มีเจตนาจะบุกโรงพยาบาล แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะคุมสถานการณ์ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีเครื่องเสียงสั่งการจึงเกิดความชุลมุน
“นปช.ต้องขอโทษประชาชนและขอโทษ รพ.จุฬาฯ ตอนนี้ นปช.ไม่ติดใจว่าภายในโรงพยาบาลมีการซ่องสุมกองกำลังทหารหรือไม่ ถือว่าเชื่อมั่นในศักดิ์ศรี เกียรติยศของโรงพยาบาล หลังจากนี้ผมจะช่วยดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก” นพ.เหวง กล่าว
รับภาพลักษณ์นปช.ติดลบหนัก
นพ.เหวงได้ขึ้นเวทีปราศรัยขอโทษประชาชนคนไทยและเจ้าหน้าที่ พยาบาล คณะแพทยศาสตร์รพ.จุฬาฯ โดยยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ทำให้ภาพลักษณ์ นปช.ติดลบ และอาจจะทำให้ นปช.เพลี่ยงพล้ำ เพราะการเมืองตอนนี้แค่เดินพลาดตาเดียวสามารถแพ้ทั้งกระดานได้ ขอให้ผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณนั้นอยู่ห่างโรงพยาบาลอย่างน้อย 5-10 เมตร เพื่อยืนยันว่า รพ.จุฬาฯ จะได้รับความปลอดภัย ยืนยันว่าศัตรูของ นปช.มีเพียงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น
เวลา 13.15 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายยศวฤทธิ์ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ได้ประชุมกันที่หลังเวทีถึงการเปิดพื้นที่บริเวณหน้า รพ.จุฬาฯ ฝั่งถนนราชดำริ
นายสุภรณ์เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากแกนนำให้ไปประสานกับผู้บริหารโรงพยาบาล เพื่อเปิดพื้นที่บริเวณหน้าโรงพยาบาล ฝั่งถนนราชดำริ บางส่วน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อและรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล โดยจะรื้อบังเกอร์บนถนนราชดำริ ฝั่งขาเข้า ไปจนสุดรั้วโรงพยาบาล และจะนำบังเกอร์มากั้นเกาะกลางถนน และวางลวดหนาม เพื่อกันไม่ให้มวลชนข้ามไปฝั่งโรงพยาบาลอีก นอกจากนี้ได้ประสาน บก.น.6 ให้มาตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย ภายหลังจากมีการรื้อบังเกอร์ออกจากบริเวณดังกล่าว
เล็งเปิดพื้นที่หน้าพารากอน-สยามฯ
นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงเย็นวันนี้แกนนำจะหารืออีกครั้งเกี่ยวกับการเปิดพื้นที่บางส่วนบริเวณโดยรอบพื้นที่ชุมนุม โดยเฉพาะใน 2 จุดสำคัญคือ บริเวณแยกปทุมวันและแยกชิดลม ในส่วนของแยกปทุมวันอาจต้องรื้อบังเกอร์ที่ตั้งอยู่ และถอยเข้ามาให้อยู่ในบริเวณแยกเฉลิมเผ่า เพื่อให้ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนและสยามเซ็นเตอร์ให้บริการได้ รวมไปถึงจะดูว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ถนนอังรีดูนังต์สามารถเปิดการจราจรได้ตามปกติ ส่วนกรณีของแยกชิดลมที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนมาแตร์เดอี ทราบมาว่าจะเปิดเทอมช่วงต้นเดือนพฤษภาคม กรณีนี้แกนนำ นปช.กำลังหาแนวทางอำนวยความสะดวกให้อยู่
ถามว่าการเปิดพื้นที่เช่นนี้เป็นการแก้เกมเพื่อลดกระแสต่อต้านหรือไม่ นายสุภรณ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นการแก้เกม แต่เป็นความต้องการของแกนนำ นปช. ที่จะอำนวยความสะดวกเพราะไม่มีจุดประสงค์ขัดขวางการให้บริการของโรงพยาบาลแต่อย่างใด
ตั้งบังเกอร์ปิดรพ.จุฬาฯ อีกรอบ
อย่างไรก็ตามเวลา 18.00 น. กลุ่มนปช.ได้ช่วยกันนำยางรถยนต์ ไม้แหลม และแหอวนไปตั้งเป็นบังเกอร์ปิดทางเข้าด้านหน้า รพ.จุฬาฯ ฝั่งถนนราชดำริ ด้านประตูทางเข้าฉุกเฉินอีกครั้ง โดยอ้างว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง สั่งมา เพื่อป้องกันการสลายการชุมนุม หลังจากยอมรื้อบังเกอร์บางส่วนไปไว้บริเวณเกาะกลางถนนราชดำริเมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา
แดงขอเคลียร์รพ.ผวาถูกจับเลิกนัด
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.ได้นัดหารือกับ ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ ในเวลา 19.00 น. เพื่อหาทางออกร่วมกันและจะขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.20 น. ก่อนที่การเจรจาจะเริ่มขึ้น นพ.เหวง ให้สัมภาษณ์ที่หลังเวทีราชประสงค์ กรณีแกนนำ นปช.จะไปเจรจากับผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาฯ ว่า ขณะนี้แกนนำได้ปรับเปลี่ยนแผนจะไม่ไปเจรจาที่โรงพยาบาลแล้ว เพราะทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจวางแผนจับกุมแกนนำที่นั่น ดังนั้น เราจึงประสานไปที่ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ ให้มาเจรจาที่หลังเวทีราชประสงค์
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ ยืนยันว่าจะไม่เดินทางไปเจรจาที่หลังเวทีราชประสงค์เช่นกัน
"อริสมันต์" ยันมีทหารในรพ.จุฬาฯ
ด้านนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กล่าวว่า ตนมีหลักฐานว่ามีทหารใน รพ.จุฬาฯจริง พร้อมหยิบปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 4 ปลอก มาโชว์ให้ผู้สื่อข่าวดูและระบุว่า ปลอกดังกล่าวคนเสื้อแดงเก็บมาได้จากลานจอดรถ รพ.จุฬาฯ ที่มีการยิงใส่การ์ดคนเสื้อแดงหลายนัด ทหารกลุ่มดังกล่าวแฝงตัวเข้าไปในพื้นที่โรงพยาบาลหลายวันแล้ว การที่มีกองกำลังทหารอยู่ในโรงพยาบาล เป็นการละเมิดของกองทัพซึ่งไม่มีที่ไหนเขาทำกัน
เสธ.แดงปัดสั่งการ์ดแดงปิดทางเข้ารพ.จุฬา
เมื่อเวลา 20.30น.พล.ต.ขัตติยะ ให้สัมภาษณ์กรณีที่กลุ่มนปช.อ้างว่าเป็นคนสั่งเอาบังเกอร์ย้ายไปตั้งที่หน้าโรงพยาบาลนั้นว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะทางแกนนำได้ตกลงกันในที่ประชุมเป็นเสียงเดียวกันว่าจะนำเอาบังเกอร์ไปวางที่หน้าโรงพยาบาลเนื่องจากทางผู้อำนวยการรพ.จุฬาฯ ไม่ทำตามสัญญาที่เอาเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจำนวนหนึ่งไปที่โรงพยาบาลหวังจะสลายการชุนนุม ช่วงค่ำทางการ์ดก็ได้นำบังเกอร์ไปวางอีกรอบ ตนก็เลยงง และบอกว่า "เสธ.แดง"เป็นคนสั่ง ตกลงที่แรกคุยกันรู้เรื่องไม่ใช่หรือซึ่งอันนี้ตนไม่ทราบเพราะตนไม่ได้เข้าไปประชุมกับแกนนำแต่อย่างใด
ที่เว็บมติชน-เว็บเสธ.แดงระบุชัดเสธ.คนสั่ง
ขณะที่เว็บไซต์มติชนออนไลน์ได้รายงานว่า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา พล.ต.ขัตติยะ กล่าวภายหลังเดินทางมาตรวจแนวกั้นบริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ภายหลังผู้ชุมนุมได้รื้อถอนบังเกอร์และถอยร่นพื้นที่การชุมนุม ว่าด่านนี้เป็นจุดเปราะบาง เจ้าหน้าที่อาจฉวยโอกาสเข้าสลายการชุมนุมได้ จึงสั่งให้ถอยกลับ ผู้ชุมนุมจึงนำยางรถยนต์และไม้ไผ่ กลับไปตั้งด่านที่แยกศาลาแดง ปิดทางเข้า-ออกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้านประตูฝั่งห้องฉุกเฉิน ถนนราชดำริเหมือนเดิม
ขณะที่ board.sae-dang.com โดยเสธ.แดง รหัส อาชา ตั้งกระทู้เมื่อ 30/04/2553 เวลา 20:58 น. ได้เขียนข้อความเรื่อง "เล่าเรื่องจริงเหตุการณ์ รพ.จุฬา ไม่ตรงกับสื่อส้นตีนทุกฉบับเสนอ...ดังนี้" โดยมีข้อความตอนหนึ่งถึงการตั้งบังเกอร์ปิดทางเข้าเข้าออกรพ.จุฬาฯเช่นเดิมว่า "เสธ.แดงจึงสั่งปิดด่านแบบเดิม การ์ดประชาชนเฮลั่น ช่วยขนไม้ไผ่ลูกยางน้ำตานองหน้า แค่ 10 นาที เสร็จเรียบร้อย"
"วีระ"รับแดงบุกรพ.จุฬาฯจุดชนวนสลายชุมนุม
เมื่อเวลา 21.20 น. นายวีระ มุสิกพงษ์แกนนำ นปช.ขึ้นเวทีปราศรัยว่า ส่วนการที่คนเสื้อแดงบุกโรงพยาบาลจุฬาฯนั้น ในช่วงเช้าที่ผ่านมา นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้กล่าวขอโทษไปแล้ว และตนก็ต้องขออภัยเป็นคนที่ 3 เช่นกัน
นายวีระ กล่าวว่า กรณี รพ.จุฬาฯที่เกิดเหตุบาดหมางกับเรา ถือว่าชอบกลมาก ขนาด รพ.ตำรวจ ที่อยู่ใกล้ ยังไม่บ่นอะไรกับเรา ต่างจากรพ.จุฬาฯ ที่ออกมาตั้งแต่แรกว่าเสียงไปรบกวนผู้ป่วยบ้าง หาว่าเสียงเราไปรบกวนสมเด็จพระสังฆราช บ้าง ถ้าไม่มีฝ่ายอำนาจรัฐคอยมาบงการชี้นำ รพ.จุฬาฯคงไม่ออกมาเช่นนี้ อย่างไรก็ตามตนในฐานะประธานนปช.ขอยืนยันว่า จะไม่ก่อความผิดนี้ซ้ำอีก ขอให้สบายใจได้
“ที่ไม่มีการเจรจากันเกิดขึ้น สืบเนื่องจากผมได้ทำหนังสือถึงผู้บริหารรพ.จุฬาฯ โดยมอบอำนาจให้นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยานพ.เหวง ไปยื่นหนังสือ เพื่อขอให้ผู้บริหารรพ.มาเจรจากับเราที่หลังเวที เพราะเราไม่สะดวกจะไป เพราะมีหมายจับคาอยู่ พอผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ยินข่าวว่า ผู้บริหารรพ.จุฬาฯ จะมาที่นี่เขาบอกไม่ต้องไป เรายืนยันว่าไม่ใช่การหวาดระแวง แต่เป็นสามัญสำนึก คนมีหมายจับจะออกหน้าร่อนไปประชุมที่นั่นที่นี่ได้อย่างไร
ดังนั้น จึงประสานขอให้ผู้บริหารรพ.จุฬาฯ มาที่นี่ คำตอบคือมาไม่ได้ เพราะผู้บริหารกลับบ้านกันหมด ซึ่งก็บอกว่า ขอคุยพรุ่งนี้ก็ได้ เขาบอกวันหยุดราชการ มาไม่ได้อีก ถามว่า วันหยุดจะมาพูดคุยกันไม่ได้เลยหรือ เรื่องนี้มันไม่เป็นอย่างอื่น นอกจาก ศอฉ.จะมาแทรกแซงตรงกลางระหว่างเราเพื่ออุ้มแกนนำนปช. เราไม่อยากตายน้ำตื้นให้เข้าไปแล้วจับที่รพ.จุฬา” นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวอีกว่า ตลอดทั้งวันแกนนำได้หารือเรื่องนี้กันตลอด เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ที่มีความกระทบมาก ซึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจาก ศอฉ.ได้ขุดหลุมพรางเอาไว้เพื่อให้หลายคนได้เห็นว่า นปช.บุกไปสถานที่ที่นานาประเทศจะยอมไม่ได้ และมองว่า คนเสื้อแดงละเมิดกฎที่ประเทศต่างๆได้วางไว้ ทำให้รัฐบาลสามารถเข้าสลายชุมนุมได้โดยชอบธรรมทันที ขณะเดียวกันการจะไปพูดคุยเจรจาก็กำลังดำเนินการแต่คงไม่ทัน ส่วนสื่อมวลชนทุกแขนงก็คงต้องตีข่าวคนเสื้อแดงในเรื่องนี้ ก็ขอให้ทุกคนอย่าได้ถือโกรธ
สมาคมสื่อประณาม นปช.ข่มขู่นักข่าว
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของกลุ่ม นปช.ในการใช้พฤติกรรมข่มขู่คุกคามผู้สื่อข่าว จากกรณีการแถลงข่าวของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ซึ่งได้กล่าวอ้างว่า รพ.จุฬาลงกรณ์ มีการซ่องสุมกำลังเพื่อเตรียมสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งในการแถลงข่าวดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้ถามกลับไปว่า มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานหรือไม่ว่าในโรงพยาบาลมีทหารอยู่จริง แต่สิ่งที่นักข่าวได้รับจากแกนนำ โดยเฉพาะนายจตุพร นอกจากไม่ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ยังแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว คุกคาม พร้อมกับท้าว่า “ถ้าไม่เชื่อให้ไปดูพร้อมกัน” และย้ำว่านักข่าวคนนี้ต้องไปด้วยให้ได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนและจับนักข่าวเป็นตัวประกันในการบุกเข้าไปใน รพ.จุฬาฯ
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงขอประณามการกระทำดังกล่าว พร้อมกับเรียกร้องดังนี้ 1.ผู้สื่อข่าวไม่ใช่คู่ขัดแย้งของกลุ่มผู้ชุมนุม และการทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าวเป็นการทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ความรับผิดชอบต่อสังคม ฉะนั้นจึงขอให้แกนนำ และกลุ่มผู้ชุมนุมหยุดพฤติกรรมอันเป็นการข่มขู่ คุกคามสื่อมวลชน 2.ขอให้แกนนำปรับเปลี่ยนวิธีการแถลงข่าว โดยการถ่ายทอดเสียงออกไปยังผู้ชุมนุม เพราะนอกจากจะทำให้ผู้สื่อข่าวไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยอิสระแล้ว ยังถูกผู้ชุมนุมห้อมล้อม และมีการโห่ไม่พอใจ หากตั้งคำถามไม่ถูกใจ ซึ่งเป็นการลิดรอนการทำหน้าที่
5 สภาวิชาชีพประณามม็อบบุก รพ.
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา อ่านแถลงการณ์ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย เรื่อง "ขอให้ยุติการคุกคามและปฏิบัติต่อโรงพยาบาล รถพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และผู้บาดเจ็บ ที่ไม่เป็นไปตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรม" ว่า ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม สภาเทคนิคการแพทย์ และสภากายภาพบำบัด มีความเสียใจต่อเหตุการณ์การบุกเข้าไปใน รพ.จุฬาฯ และขอประณามการกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรม ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีสติ หนักแน่น เคารพหลักการสากลและหลักมนุษยธรรมในการดูแลรักษาผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ
เครือข่ายผู้ป่วยประณามบุก รพ.จุฬาฯ
เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ประกอบด้วย ชมรมผู้ป่วยโรคไต เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ประเทศไทย เครือข่ายผู้ป่วยมะเร็ง องค์กรผู้บริโภค องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสุขภาพ และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามการรุกรานสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ของ นปช. การกระทำของ นปช.ที่บุกเข้าตรวจค้นรพ.จุฬาฯ สร้างความหวาดกลัวและข่มขู่บุคลากรทางการแพทย์ นับเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม และเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ ขัดและละเมิดต่อหลักการเรื่องสิทธิผู้ป่วย ขอให้แกนนำหยุดอ้างว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่ใช่มติของแกนนำแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ
อุปนายกแพทยสภายันพฤติกรรมแดงบุกรพ.จุฬาฯไม่ฉันท์มิตร
พ.ญ.ประสบศรี อึ้งถาวร อุปนายกแพทยสภา กล่าวในรายการคมชัดลึกทางเนชั่นทีวีว่า ปกติสถานพยาบาลได้รับการยอมรับว่าเป็นกลาง เมื่อไหร่ที่สองฝ่ายชนกัน เราจะเป็นกลางเข้าไปช่วยเหลือ เราก็หวังว่าจะกระตุกความรู้สึกตรงนี้ และต้องรู้ว่า รพ.เป็นสถานที่เฉพาะกิจช่วยทุกคนไม่ว่าเป็นใครทั้งสิ้น รพ.เป็นสถานที่ที่มีภูมิต้านทานไม่ควรถูกละเมิด สังคมกำลังขาดความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างแรง จึงไม่ต้องมาเควสชั่นว่าเราทำอะไรอยู่ หากจะบอกว่าแพทย์บางคนเป็นอย่างไรถือเป็นสิทธิ์ของบางคน แต่เมื่อเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แล้วถือว่ามีสีเดียวคือช่วยชาติ ด้วยมนุยธรรม ตนให้อภัยเพราะอาจจะมีปัจจัยเสริมทำให้ผู้ชุมนุมเครียดแปรสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างอื่น แต่ผู้ชุมนุมก็ต้องรู้ว่าทำอะไรอยู่ และต้องมั่นใจใน รพ. การจะไปหาคนโน้นคนนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และเห็นด้วยที่ย้ายผู้ป่วย
"แพทย์มีสิทธิ์เลือกข้าง แต่เมื่อไหร่ที่เลือกข้างใดแล้วถือเป็นเรื่องการเมืองจะเอามาเกี่ยวกับวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้ ลัทธิความเชื่อต่างๆ ต้องหยุด ขณะที่รักษามีแต่แพทย์กับคนไข้ เมื่อไหร่ที่ไม่สามารถคงความเป็นกลางได้ ต้องหยุดประกอบวิชาชีพแพทย์ หากไม่สบายใจที่จะรักษา สามารถยุติการรักษาโดยให้แพทย์คนอื่นมาทำหน้าที่แทน" พ.ญ.ประสบศรี กล่าว
พ.ญ.ประสบศรี กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าขณะนี้ความหวาดระแวงเต็มไปหมด หากคุยกันฉันท์มิตรก็น่าจะได้ข้อสรุปเป็นกรณีๆ ไป แต่เหตุการณ์ที่เห็นเมื่อวานไม่ฉันท์มิตร ดูแล้วน่ากลัว อยากให้นปช.เห็นใจผู้ที่ไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุม เพราะเป็นประชาชนเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ขอฝากไปยัง นปช. ผู้ชุมนุม และ 5 ภาคีเครือข่ายที่ไปอยู่ในที่ชุมนุม ซึ่งรู้ดีเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนว่าไม่ควรทำอย่างนี้อีก อย่าให้เป็นการคุกคาม ขู่เข็ญ
นพ.แท้จริง ศิริพานิช กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า การเข้าไปใน รพ.ถือว่าละเมิดสิทธิ์ ในสงครามแม้กระทั่งศัตรูโดนผ่าตัดโดยหมอสนาม เขายังไม่ดูเลย หรือรพ.ตำรวจ ก็ยังไม่เข้าไปอย่างนี้ เป็นอันรู้กันได้ว่าอย่าเข้าไปยุ่มย่าม หากมีคนป่วยฉุกเฉินติดอยู่ตรงนั้นจะทำอย่างไร แม้แต่เด็กที่อยู่ในตู้อบต้องย้าย รพ.หากเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ ตั้งแต่แรกที่ไปพบคุณวีระ หมอเหวง ก็สัญญาว่าจะไม่ละเมิด แต่ก็เป็นแบบที่เราเห็น ทุกคนมีสิทธิ และมีหน้าที่ แต่เวลานี้ทุกคนจะเอาแต่สิทธิอย่างเดียว โดยไม่มองหน้าที่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกั