
แพ้ยา-ผลข้างเคียงจากยา อันตรายกว่าที่คิด
สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) โดยกลุ่มชุมชนเภสัชกรนักปฏิบัติงานเอดีอาร์ (ADR) ต้องการเร่งหามาตรการแก้ไข โดยได้จัดประชุมวิชาการเรื่อง อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ขึ้น เพื่อเพิ่มพูนความรู้แก่เภสัชกรโรงพยาบาล
ภญ.จันทิมา โยธาพิทักษ์ ประธานกลุ่มชุมชนเภสัชกรนักปฏิบัติงานเอดีอาร์ เผยว่า ปัจจุบันปัญหาแพ้ยารุนแรงมีข่าวออกมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ อาจเพราะอาการนี้เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยแต่ละราย จึงไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ผู้ป่วยคนไหนจะแพ้ยาตัวไหน บางรายไม่เคยมีประวัติแพ้ยามาก่อนก็สามารถเกิดอาการแพ้ยาได้ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ผู้ป่วยมีความรู้ว่า เมื่อเกิดอาการผิดปกติ และสงสัยว่าแพ้ยา ควรรีบมาพบแพทย์และเภสัชกร ก่อนที่อาการจะรุนแรง และทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดการแพ้ยาซ้ำ
"อาการแพ้ยาที่พบบ่อย คือ อาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น เป็นผื่นแดงเหมือนเป็นลมพิษ อาการบางอย่างพบได้ไม่บ่อยแต่รุนแรง เช่น โรคสตีเว่นจอห์นสันซินโดรม ผู้ป่วยจะมีอาการผื่นแพ้ที่รุนแรงทั่วร่างกาย ตาอักเสบ มีแผลพุพองในปาก และอวัยวะเพศ เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตหรือพิการสูง สำหรับอาการแพ้ยาที่บ่งบอกว่าอาจจะอันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ความดันโลหิตลดต่ำลง หรือเกิดภาวะช็อก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อาการแพ้ยาบางอย่างที่อาจจะดูเหมือนไม่รุนแรง แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ เช่น อาการเหมือนเป็นลมพิษ หน้าบวม ตาบวม เพราะปฏิกิริยาแบบนี้อาจจะไปบวมในบริเวณอวัยวะที่สำคัญ เช่น หลอดลม คนไข้จะหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก บางรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งยากลุ่มนี้ที่พบว่าเป็นสาเหตุของอาการแพ้ได้บ่อยจะเป็นยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดอักเสบกล้ามเนื้อ ดังนั้นผู้ที่แพ้ยาแล้วมีอาการผื่นลมพิษ หน้าบวม ตาบวม อย่านิ่งนอนใจ ต้องรีบกลับมาพบแพทย์หรือเภสัชกรทันทีที่มีอาการ” ภญ.จันทิมากล่าว
พร้อมกันนี้ ภญ.จันทิมา ได้แนะแนวทางป้องกันการแพ้ยาสำหรับผู้ป่วยว่า 1.กลุ่มผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา ทุกครั้งที่พบแพทย์ ต้องแจ้งแพทย์เสมอ หากเคยได้รับบัตรแพ้ยาจากโรงพยาบาล ต้องพกติดตัวไว้ และยื่นบัตรแพ้ยาทุกครั้งที่มาพบแพทย์ เพราะยากลุ่มหนึ่งอาจมีหลายตัว หากผู้ป่วยไม่ให้บัตรแพ้ยา แพทย์อาจไม่ทราบว่าแพ้ยาตัวใด 2. กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่เคยมีประวัติแพ้ยา ทุกครั้งที่รับประทานยาที่ไม่เคยรับประทานมาก่อนเป็นครั้งแรก ควรสังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังจากได้รับยา หากมีอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคันแปลกๆ ทั่วร่างกาย หน้าบวม แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง เวียนศีรษะ ให้รีบกลับมาพบแพทย์และปรึกษาเภสัชกรทันที เพื่อให้สามารถวินิจฉัยแพ้ยาได้เร็ว ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงอาการแพ้ยาลงได้