
ต้นแบบ"ฟาร์มสุกร"ปลอดมลภาวะยกระดับวิธีเลี้ยงมาตรฐานซีพีเอฟ
การดำเนินกิจการอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นนโยบายหลักของ "ซีพีเอฟ" ที่ทุกหน่วยงานต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ธุรกิจสุกรก็ได้รับเอานโยบายมาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยตระหนักเสมอว่าธุรกิจของบริษัทต้องไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
จึงมีแนวคิดที่จะทำให้ฟาร์มกาญจนบุรีแห่งนี้เป็น "กรีนฟาร์ม" ที่เน้นการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงานและใส่ใจชุมชนรอบข้าง
"ท่องโลกเกษตร" อาทิตย์นี้จะพาตระเวนท่องฟาร์มสุกรต้นแบบแห่งแรกที่ทันสมัยและครบวงจรมากที่สุด ภายใต้สัญลักษณ์ "กรีนฟาร์ม" ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่ชื่อ "ฟาร์มกาญจนบุรี" ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 306 ไ ร่ในท้องที่ ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ปัจจุบันฟาร์มแห่งนี้มีแม่พันธุ์ 3,000 ตัว พ่อพันธุ์ 70 ตัว โดยสามารถผลิตลูกสุกรได้ปีละกว่า 6.4 หมื่นตัว มีการบริหารจัดการเลี้ยงเป็นระบบเข้าหมด-ออกหมด (ALL IN ALL OUT)
สมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจสุกร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เผยระหว่างนำเยี่ยมชมฟาร์มแห่งนี้ว่า จากจุดเริ่มต้นในฐานะบริษัทของคนไทยที่มุ่งมั่นค้นคว้าวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมการเกษตรวันนี้ซีพีเอฟจึงเป็นที่รู้จักและยอมรับจากผู้บริโภคในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมอาหารด้วยเทคโนโลยีผลิตอันทันสมัย ได้มาตรฐาน ปลอดสาร ปลอดภัย ถูกสุขอนามัยและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรที่บริษัทมีเทคโนโลยีการผลิตสุกรปลอดสารที่ก้าวหน้าและมีมาตรฐานสามารถควบคุมการผลิตตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัย
"เราเลือกใช้ไบโอแก๊สระบบบ่อหมักแบบพลาสติกคลุมบ่อ (Cover Lagoon) ซึ่งเป็นระบบปิดที่ปูพื้นบ่อหมักด้วยวัสดุป้องกันรั่วซึมสู่ผิวดินและคลุมปากบ่อ ด้วยแผ่นพลาสติกพีอี(Polyethylene) จึงตัดโอกาสที่จะเกิดกลิ่นออกจากระบบและแมลงวันที่จะไปรบกวนชุมชน"
รองบอสใหญ่ธุรกิจสุกรคนเดิมระบุอีกว่า ส่วนน้ำที่ออกจากระบบไบโอแก๊สก็มีระบบบำบัดที่มีประสิทธิภาพสูง และซีพีเอฟมีนโยบายที่จะไม่ปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วออกสู่ภายนอกฟาร์ม ถึงแม้ว่าน้ำจะผ่านมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากน้ำสามารถนำไปใช้กับพืชผลทางการเกษตรได้อย่างเหมาะสม จึงมีพี่น้องเกษตรกรในชุมชนใกล้เคียงหลายรายมาติดต่อขอนำน้ำไปใช้ในไร่อ้อย ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพผลผลิตได้เป็นอย่างดี
ส่วนกากตะกอนหลังการบำบัดก็ยังเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดี มีคุณค่าทางอาหารที่เหมาะสมสำหรับพืชเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังพัฒนาให้มีระบบชักกากเพิ่มเติมเพื่อชักเอากากตะกอนในบ่อหมักออกช่วยแก้ปัญหากากตะกอนเต็มเร็วเกินไปและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการที่จะต้องเปิดพลาสติกคลุมปากบ่อหากใช้ระบบบ่อหมักแบบพลาสติกคลุมบ่อเพียงอย่างเดียว
สำหรับเทคโนโลยีการผลิตแก๊สชีวภาพ หรือไบโอแก๊สนั้น ซีพีเอฟถือเป็นผู้นำในการใช้ระบบดังกล่าวเป็นรายแรกๆ ของประเทศ ทำให้สามารถบริหารจัดการของเสียจากการเลี้ยงสุกรได้อย่างเป็นระบบช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากปัญหามลภาวะทางอากาศ ลดกลิ่นเหม็นและแมลงวัน ทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิตจากแก๊สชีวภาพที่เปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในฟาร์มได้แทบทั้งระบบ
"แม้ระบบบำบัดน้ำเสียของเราจะมีประสิทธิภาพเพียงใด แต่ก็ยังคงมีความกังวลว่าอาจจะมีกลิ่นหลงเหลืออยู่ ทางฟาร์มจึงพัฒนา "ระบบฟอกอากาศ" มาช่วยลดกลิ่นที่จะออกจากโรงเรือนเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีกลิ่นรบกวนชุมชน ซีพีเอฟถือเป็นบริษัทแรกของไทยที่พัฒนาและนำระบบนี้มาใช้แก้ปัญหาเรื่องกลิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง เราก็ยินดีเพื่อให้ฟาร์มของเราไม่ก่อผลกระทบต่อชุมชนและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข" สมพรย้ำชัด
สำหรับระบบฟอกอากาศจะถูกติดตั้งไว้ด้านหลังพัดลมระบายอากาศบริเวณท้ายโรงเรือน โดยกระบวนการลดกลิ่นจะเริ่มจากการใช้น้ำเพื่อปรับสภาพให้ปริมาณฝุ่นละอองในอากาศลดลงเหลือน้อยที่สุด จากนั้นใช้กรดอ่อนเพื่อดักจับกลิ่นที่เหลืออยู่และในชั้นสุดท้ายจะติดตั้งระบบชีวภาพ โดยใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น กาบมะพร้าวหรือเศษเยื่อไม้ที่สามารถจับกลิ่นได้ดีพบว่าระบบฟอกอากาศสามารถลดกลิ่นเหม็นและกลิ่นของแก๊สแอมโมเนียที่ออกจากโรงเรือนเลี้ยงสุกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังปลูกไม้ดอกกลิ่นหอม อาทิ ต้นแก้ว ต้นปีบ ต้นจำปี บริเวณหน้าโรงเรือนส่งผลให้ภายในฟาร์มและชุมชนรอบข้างมีสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลภาวะรบกวน
ปัจจุบัน "ซีพีเอฟ" ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเนื้อสุกรชำแหละรายใหญ่ของประเทศ มิได้ใช้เทคโนโลยีเฉพาะในฟาร์มของบริษัทเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกรกับบริษัทสร้างโรงเรือนระบบปิดและระบบบ่อหมักแก๊สชีวภาพในรูปแบบที่เหมาะสมกับเกษตรกรแต่ละรายเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบดังกล่าวอีกด้วย
สุรัตน์ อัตตะ