"พาราเซตามอล" ยาสามัญประจำบ้าน บรรเทา อาการปวด ใช้ลดไข้ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กินมาก อันตราย กว่าที่คิด หาย ปวดหัว แต่ไปปวด ตับ แทน
"พาราเซตามอล" ยาสามัญประจำบ้านที่หลายคนคุ้นเคย หลายบ้านยังมีติดไว้เพื่อใช้ในการลดไข้และบรรเทา อาการปวดในชีวิตประจำวัน ถือเป็นยาที่เข้าถึงได้ง่าย และจัดเป็นยาที่ไม่อันตราย ในขณะเดียวกันหากมีการใช้ยาไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดอันตรายได้ วันนี้ มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาพาราเซตามอล ที่ถูกต้องเหมาะสม กินไปแล้วจะได้หายปวดหัวและไม่เป็นอันตรายต่อตับด้วย
กลไกการออกฤทธิ์ของยา "พาราเซตามอล"
ยาพาราเซตามอลออกฤทธิ์โดยการยับยั้งสารเคมีบางชนิดในสมองของมนุษย์ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด เช่น สารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) และจะชักนำให้เกิดกลไกการลดอุณหภูมิหรือลดไข้ของร่างกายลง
การใช้ยาพาราเซตามอล
- ในการกินยา 1 ครั้ง ใช้ยาขนาด 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
- กินครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
- ไม่ควรกินเกิน 8 เม็ดต่อวัน หรือ 4 กรัม/วัน
- สามารถกินก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
- ระวังในผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของตับบกพร่องหรือน้ำหนักตัวน้อย เนื่องจากอาจจำเป็นต้องปรับขนาดยา
- เป็นยารักษาตามอาการ หากไม่มีอาการปวดหรือไม่มีไข้ ไม่จำเป็นต้องกินยา
- กรณีลืมกินยา สามารถกินได้ทันทีที่นึกขึ้นได้ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา
ปัญหาที่พบจากการใช้ยา "พาราเซตามอล" ใช้ยาพร่ำเพรื่อ
การกินยาพาราเซตามอลพร่ำเพรื่อติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้ตับทำงานบกพร่อง โดยเฉพาะการกินยาร่วมกับแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่ออาการตับอักเสบมากขึ้น
ใช้ยาเกินขนาด
การกินยาพาราเซตามอลต่อครั้ง ระบุว่า ต้องกินยาขนาด 1-2 เม็ด ถ้าหากกินมากเกิน 2 เม็ด ต้องดูที่น้ำหนักตัวของผู้ป่วยว่าสัมพันธ์กับขนาดยา 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หรือไม่ ถ้าหากนำน้ำหนักตัวผู้ป่วยมาคำนวณแล้วเกินกว่า 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) แปลว่าใช้ยาเกินขนาด จะทำให้มีความเสี่ยงต่อตับเช่นเดียวกับการใช้ยาพร่ำเพรื่อ
ใช้ยาทั้งที่ไม่มีอาการ
พบว่าบางรายมีการใช้ยาทั้งที่ไม่มีอาการ เช่น การกินยาดักไว้ก่อน เพื่อป้องกันอาการไข้ ทั้งที่ยังไม่มีไข้เกิดขึ้น ถือเป็นการใช้ยาที่ไม่สมเหตุสมผล และไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษา ทั้งยังอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากยาได้
อาการของการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด
อาการแสดงของการใช้ยาเกินขนาดจะแสดงใน 1-3 วัน มีทั้งหมด 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เหงื่อออก เป็นระยะสั้น ๆ โดยจะเกิดภายใน 24 ชั่วโมง บางรายอาจไม่มีอาการ
- ระยะที่ 2 หลังกินยาระหว่าง 24-48 ชั่วโมง ไม่มีอาการแสดง แต่เมื่อเจาะเลือดจะพบว่าเอนไซม์ทรานซามิเนส (transaminase) เริ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่แสดงถึงการบาดเจ็บของตับ
- ระยะที่ 3 หลังกินยาไปแล้ว 48 ชั่วโมง มีอาการตับอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารอีกครั้ง มีภาวะแทรกซ้อนเหมือนตับอักเสบทั่วไป หากรุนแรงอาจมีอาการสมองเสื่อมจากโรคตับ และเสียชีวิตได้หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที
ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอล
- หากมีภาวะการทำงานของตับผิดปกติ ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ
- ห้ามใช้ยากับคนที่แพ้ยาพาราเซตามอลเด็ดขาด อาการแพ้ยา ได้แก่ ผื่นขึ้น แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
ขอบคุณข้อมูลจาก : รามาแชแนล
เพื่อไม่พลาด ข่าวสารต่างๆ คมชัดลึก ไปที่
Youtube - https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w
LineToday - https://today.line.me/th/v2/publisher/100057
เช็กรายชื่อศิลปินเข้าชิง "คมชัดลึก ลูกทุ่ง Awards 2565" ใครคือ 6 Candidate กับ 8 สาขา Popular Vote https://www.komchadluek.net/entertainment/524524
ข่าวที่เกี่ยวข้อง