
พึ่งตนพึ่งธรรม-ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีให้พ้น
สมัยก่อนเวลาเราไปงานศพมักจะเห็นคำสั้นๆ สอนใจ ที่เขียนไว้บนตาลปัตรของพระทั้ง ๔ รูป ที่ทำหน้าที่สวดอภิธรรมแผ่บุญกุศลให้แก่ผู้ตายและญาติ โดยเขาจะประกอบด้วยคำ ๔ ส่วน แยกที่ตาลปัตรพระแต่ละรูป เรียงตามลำดับว่า
“ไปไม่กลับ - หลับไม่ตื่น - ฟื้นไม่มี - หนีไม่พ้น”
คำร้อยกรองเหล่านี้มิได้เพียงแค่สวยงามด้านอักขระเท่านั้น แต่ยังแฝงภูมิปัญญาไทยโบราณสอนลูกหลานเอาไว้ด้วย
คำเหล่านี้สอนอะไรพวกเราเหรอครับ? ก็มรณานุสติ (หรือมรณสติ หรือมรณัสติ) คือการระลึกนึกถึงความตายไว้เป็นอารมณ์นั่นเอง จะมีสักกี่คนครับที่จะใส่ใจได้คิดพิจารณาถึงสัจธรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นญาติผู้ตาย เพื่อนฝูงที่มางานศพ กระทั่งถึงสัปเหร่อผู้ที่ขลุกอยู่กับพิธีศพทุกวี่วัน
ฉะนั้นชาวพุทธเราจึงมีคำคำหนึ่ง เป็นคำบาลีที่เป็นกุศโลบายที่ดีมากในการพาเราเข้าถึงสัจธรรมได้โดยง่าย คำคำนั้นก็คือ “โยนิโสมนสิการ” เขาแปลไทยว่า การคิดพิจารณาโดยแยบคาย และนำไปใช้กับวิถีชีวิตประจำวันอย่างชาญฉลาด
คำว่า "โยนิโสมนสิการ" มาจากคำสองคำประกอบกันคือ
"โยนิโส" มาจาก "โยนิ" แปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทาง
"มนสิการ" หมายถึง การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา
"โยนิโสมนสิการ" จึงหมายถึง การพิจารณาโดยแยบคาย หรือความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธี สามารถพิจารณา ไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กำลังคิด หรือคิดให้ถึงรากถึงโคนของที่มาของความคิดนั้น
โยนิโสฯ เป็น ก็เย็นสบาย
คล้ายได้เห็นซึ่งสัจธรรม
มองรอบกายได้คำตักเตือนย้ำ
“ธรรมชาติ” เป็น “ครู” สั่งสอนธรรม
คนที่ตาย ก็ได้ตักเตือนเขา
ตัวของเรา คงตายแน่สักวัน
ดินน้ำไฟลม มีเปลี่ยนแปรผัน
เคยเห็นกันไม่ทันได้ร่ำลาฯ
ก็คล้ายกับกลอนที่ผมว่าไว้แหละครับ (รอใส่ทำนองร้องเป็นเพลง) ทุกเรื่องราวที่ประสบกับเราโดยตรง หรือโดยอ้อม ธรรมชาติที่เราพบเห็น สัมผัส เรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครูสอนธรรมเราได้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่หมาขี้เรื้อนข้างถนนตัวหนึ่งก็ให้ธรรมะแก่เราได้ เพราะการคิด พิจารณาแบบถึงรากถึงโคน คือการมองจนเห็นตามความเป็นจริง หรือที่เรียกว่า วิปัสสนา นั่นเอง หากเรามองเป็น มองเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลงนั้น เคยเกิดขึ้น เคยตั้งอยู่ และดับไปแล้ว? อะไรดับ? เมื่อเห็นสัจธรรมอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า จะพลิกจิตเราเข้าสู่โลกุตรธรรมในทันที
ตรงกันข้าม หากเราไม่รู้จักใช้โยนิโสมนสิการแล้วไซร้ ก็จะเสียเวลาในชีวิต กลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับสัจธรรมแต่ไม่รู้สัจธรรม เช่น สัปเหร่อ ที่มิอาจเห็น อนิจจตา (หนึ่งในไตรลักษณ์ มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ได้จากสังขาร ซากศพที่ตนทำฌาปนกิจอยู่ทุกวี่วันก็น่าเสียดาย นักเทศน์ ที่มิอาจเห็นแจ้งจริงในวิมุติธรรม จากคำสอนในพระคัมภีร์ใบลานที่ตนอ่านจนชำนาญ นักการเมือง ที่มิอาจมองเห็นความฉิบหายของชาติ จากการที่ตัวเองกำลังประกอบกิจคอรัปชั่นกันอย่างเมามัน (และปากมันด้วย) ทั้งยังมองไม่เห็น ตถตา ของสภาพการสิ้นอำนาจวาสนาตนเอง จากการเป็นนักการ เมืองที่โกงกินมาแล้วหลายปี นักบวช ก็มิอาจบรรลุมรรคผลนิพพาน จากการครองผ้าเหลืองมานานจนตลอดชั่วชีวิต นักเลงสมาธิ ก็มิอาจเข้าสู่วิมุติธรรม จากการที่ตนได้เข้า ออก ฌานจนช่ำชองหาที่เปรียบมิได้ (เสมือนกระเบื้องมิอาจฝนให้เป็นกระจก, คำสอนแห่งท่านโพธิธรรมตั๊กม้อ)
และหากเราไม่สนใจคิดเรื่องโยนิโสมนสิการแล้ว ก็คงจะกลายเป็นคนหลงโลก เหมือนอย่างบทประพันธ์ของหลวงพ่ออาจารย์พุทธทาสว่าไว้ ...
หมู่นกจ้อง มองเท่าไร ไม่เห็นฟ้า
แม้ฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมองไม่เห็นดิน ที่กินไป
หนอนก็ไม่ มองเห็นคูต ที่ดูดกิน,
คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก
ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจสิน
ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล
เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอยฯ
ยังมี “สัจธรรม” อื่นๆ อีก ที่แฝงอยู่ในนี้ ไม่ว่าจะเป็น “ความเกิด” - มีเกิดย่อมมีตาย, “ความแก่” - ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง แปรเปลี่ยนสภาพไปของมันอยู่ตลอดเวลา จากเด็กเป็นหนุ่ม จากหนุ่มเป็นแก่, “ความเจ็บ” - สังขารร่างกาย ที่แท้ก็คือรังของโรคสารพันนั่นเอง มีหรือใครจะไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่พระพุทธเจ้ายังหนีความเจ็บป่วยไปไม่พ้นเลย
สัจธรรม เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นี้เล่า คือเหตุปัจจัยทำให้เกิด “ความทุกข์” อันคนทุกยุคทุกสมัยไม่อยากประสบพบเจอ ต่างก็พากันจะหนีมันให้พ้น แหละสุดท้ายที่ว่าหนีไม่พ้น ก็คือ หนีทุกข์ไม่พ้นนั่นเอง
เรื่องการอยากหนีทุกข์ หรือหาทางออกจากทุกข์ หรือการทำที่สุดแห่งกองทุกข์นั้น มหาบุรุษผู้หนึ่งได้ครุ่นคิดเรื่องเดียวกันนี้อย่างเข้มข้นมาแล้ว เมื่อราว ๒๖๐๔ ปีที่แล้ว (พ.ศ. -๕๑), เขาผู้นั้นก็พบเห็นสัจธรรมอย่างที่ว่ามาแล้วเช่นกัน แต่เขาจริงจังมากกว่าพวกเรามากโขอยู่ ประเภทเทียบกันไม่เห็นฝุ่น จริงจังกระทั่งต้องหนีออกเรือน เสียสละตัดขาดจากครอบครัว ทั้งๆ ที่เพิ่งได้เห็นหน้าลูกชายอยู่หมาดๆ เพื่อไปค้นหาแนวทาง (Solution) หรือทางออก (The Exit) จากการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย และความทุกข์ทั้งปวง กระทั่งท่านทรงค้นพบโพธิญาณตรัสรู้ธรรมในอีก ๖ ปีถัดมา
ใช่แล้วครับ มหาบุรุษที่ผมเอ่ยถึงก็คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง
พระองค์ทรงคิดและวางแนวทางให้พวกเราเสร็จสรรพครบถ้วนกระบวนธรรมหมดแล้ว ล่วงเลยมาจนถึงทุกวันนี้ ขณะจิตนี้ก็ตาม ความทุกข์ที่พวกเราเจอะเจอ ก็ยังเป็นชนิดและสายพันธุ์เดียวกันกับความทุกข์เมื่อสมัยพระพุทธเจ้า ราว ๒,๖๐๐ ปีก่อนนั่นแหละ มันมิได้เก่งฉกาจกว่าคำสอนแห่งพระพุทธองค์ไปถึงไหนเลย มันยังคงถูกกำราบ แม้กระทั่งกำจัดได้ด้วยคำสอนของพระพุทธองค์เช่นเคย
เพราะฉะนั้นจงยินดีเถิดครับ ที่พวกเราไม่ต้องเหนื่อยคิดหาวิธีแก้ทุกข์อีกแล้ว (ต่อให้คิดใหม่ ก็ไม่แน่ว่าจะคิดกันได้ จริงไหมครับ?) เรามี Buddha’s Solution อยู่ในมือแล้วทุกคน อยู่ที่ว่า พวกเราจะใส่ใจ ใช้กันเป็นหรือเปล่าเท่านั้น!
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ลองกลับมาพิจารณา ๔ คำนั้นใหม่ แล้วผมข้องใจจริงๆ ครับ
ไปไม่กลับ - หลับไม่ตื่น - ฟื้นไม่มี -หนีไม่พ้น
ไอ้คำว่า “หนีไม่พ้น” เนี่ย มันดูเหมือนยอมจำนนๆ ยังไงก็ไม่รู้
พุทธบุตรอย่างพวกเรา ต้องหนีพ้นสิ ไอ้ความทุกข์หรือความตายเนี่ย ถ้าอยากจะหนี ด้วยการทำความเข้าใจในพุทธปรัชญาอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับการปฏิบัติเดินตามพระองค์ จนเข้าใจแล้วว่า โลกนี้มีก็แต่ความทุกข์ “ทุกข์” เท่านั้นที่เกิด - ตั้งดำรงอยู่ - และก็ดับไป หาได้มี “สุข” ไม่, ดังคำหลวงพ่อชา สุภัทโท สอน “สุข” นั้นหรือ แท้จริงก็คือ “ทุกข์จางๆ” นั่นเอง
พุทธบุตรอย่างพวกเรานี้สิ มีแนวคิดเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถพิจารณาย้อนไปหาต้นตอหรือสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ได้ (สมุทัย) ไม่เห็นจะยาก ดูอย่างเวลาเราไปหาหมอ หมอยังหาสมุฏฐานของโรคทางกายได้เลย ทำไมเราจะหาสมุฏฐาน (สมุทัย) ของโรคทางจิต (ทุกข์) กันไม่ได้ เนอะ
พุทธบุตรอย่างเรานี้สิ เมื่อเข้าถึงหัวใจธรรมแล้ว ย่อมต้องรู้เป้าหมายสูงสุดของพวกเราชาวพุทธคือ “นิพพาน” และจัดการได้ด้วยการ “ดับไม่เหลือ” แห่งเชื้อ (เหตุปัจจัย) ทั้งมวล เมื่อหมดเชื้อ หมดอาหารของกิเลส กิเลสตัณหาก็ถูกประหารหมดไปเท่านั้นเอง จนจิตเกลี้ยง กิเลสไม่เหลือ ลุแห่งนิพพาน อันเป็นสภาวะที่หนีพ้น เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย หรือ พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงอย่างเด็ดขาด นั่นเอง
มันทำให้ผมอยากเขียน ๔ คำใหม่ว่า ...
ไปไม่กลับ - ดับไม่เหลือ - เชื้อไม่มี - หนีก็พ้น
ดีไหมครับ?
พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา