ไลฟ์สไตล์

การติดเชื้อ การรักษา "ซิฟิลิส" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจเสียชีวิตได้

การติดเชื้อ การรักษา "ซิฟิลิส" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจเสียชีวิตได้

07 ม.ค. 2565

"ซิฟิลิส" โรคใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) เมื่อได้รับเชื้อจะกระจายไปตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดพยาธิสภาพได้เกือบทุกอวัยวะ

"ซิฟิลิส" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

"ซิฟิลิส" เกิดจากเชื้อ ทรีโปนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เกิดจากการมี "เพศสัมพันธ์" โดย "ไม่ป้องกัน" ด้วยการใส่ "ถุงยางอนามัย" เชื้อโรคสามารถติดผ่านจากคนสู่คนโดยการสัมผัสโดยตรงกับแผลซิฟิลิส ซึ่งแผลนี้จะอยู่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ช่องคลอด ปากทวารหนัก หรือที่ทวารหนัก

 

รูปร่างของแบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม ที่ทำให้เกิดโรคซิฟิลิส มีลักษณะเป็นเกลียว

 

แผลซิฟิลิสจะขึ้นที่ไหน

แผลอาจได้เกิดที่ริมฝีปาก และ ในช่องปาก เชื้อติดต่อขณะมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก สตรีที่ตั้งครรภ์สามารถนำเชื้อนี้ไปให้ทารกในครรภ์ได้ แต่เชื้อนี้จะไม่สามารถติดต่อการนั่งโถส้วม ลูกบิดประตู สระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำ เสื้อผ้า หรือช้อนส้อมได้อย่างที่หลายคนเชื่อกัน 

 

หลายคนติดโรคแต่ไม่มีอาการเป็นปี ซึ่งจะมีโอกาสเป็นซิฟิลิสระยะสุดท้าย และมีภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษา เพราะเป็นไปได้ว่าโรคนี้จะไม่แสดงอาการได้หลายปี แต่ถ้าไม่รักษาโรคก็จะลุกลามไปทำลายอวัยวะอื่น ๆ เช่น หัวใจ หลอดเลือด ระบบประสาท กระดูก ทำให้พิการ และ อาจเสียชีวิตได้

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคซิฟิลิส

การจะพิสูจน์ว่าเป็นซิฟิลิสนั้นสามารถทำโดยนำน้ำเหลืองจากแผล หรือผื่นที่ปรากฏบนตัวผู้ป่วยไปส่องกล้อง เพื่อหาตัวเชื้อโรค หรืออาจจะเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิสก็ได้

ตรวจเลือดหลังจากติดเชื้อแล้ว ร่างกายจะสร้างโปรตีนขึ้นมาทำให้สามารถตรวจได้ และแม้ให้การรักษาครบไปแล้วก็ยังสามารถตรวจพบได้นานเป็นเดือน ๆ หรือเป็นปี ๆ

 

  • ระยะแรก สังเกตได้จากการมีแผลที่เป็นแผลเดียว หรืออาจมีหลายแผลได้ ระยะเวลาตั้งแต่ติดโรคจนเกิดอาการใช้เวลานาน 10-90 วัน เฉลี่ยอยู่ที่ 21 วัน แผลไม่นิ่ม กลม ขนาดเล็ก ไม่เจ็บ ขอบยกนูนแข็ง จึงมีอีกชื่อคือ "แผลริมแข็ง"

การติดเชื้อ การรักษา \"ซิฟิลิส\" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจเสียชีวิตได้

 

  • ระยะที่สอง จะมีผื่นตามผิวหนังและเยื่อบุ ผื่นเกิดตามร่างกายหนึ่งหรือสองแห่ง ไม่คัน อาจเกิดขณะที่แผลริมแข็งกำลังจะหาย หรือหลังจากหายไปแล้ว 2 - 3  สัปดาห์ ผื่นมีลักษณะสีแดง หรือจุดน้ำตาลแดง อาจเกิดที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า อาการอื่นที่อาจเกิดได้แก่ มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ปวดศีรษะ น้ำหนักลด ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง

 

  • ระยะแฝง และ ระยะสุดท้าย ระยะแฝงเริ่มต้นหลังจากไม่ได้รับการรักษาระยะหนึ่งและระยะสองผ่าน เพราะเชื้อจะยังคงอยู่แม้ไม่แสดงอาการ ระยะแฝงของซิฟิลิสจะอยู่นานเป็นปี ๆ และบางรายจะแสดงอาการแม้จะผ่านไปแล้ว 10-20 ปี หลังจากที่ได้รับเชื้อ ในระยะท้ายของโรคซิฟิลิสเชื้อจะค่อย ๆ ทำลายอวัยวะภายในร่าย ได้แก่ สมอง เส้นประสาท ตา หัวใจ เส้นเลือด ตับ กระดูก ข้อ อาการของโรคระยะสุดท้ายอาจมีตั้งแต่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ไม่สัมพันธ์กัน อัมพาต ชา ตาค่อย ๆ บอด สมองเสื่อม และอาจรุนแรงจนถึงขึ้นเสียชีวิต

วิธีป้องกันซิฟิลิส

  • มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลซิฟิลิส คู่นอนอาจมีแผลที่ปาก ลิ้น อวัยวะเพศ ดังนั้นอาจติดเชื้อได้จากการ จูบ หรือทำ Oral sex
  • การทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆของคู่นอน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งซิฟิลิส ไม่สามารถป้องกันได้ ด้วยการล้างอวัยวะเพศ การปัสสาวะ หรือสวนล้างช่องคลอดหรือทวารหนักทันที หลังมีเพศสัมพันธ์
  • ไปพบแพทย์เสมอเมื่อมีอาการผิดปกติ 

 

 

ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเป็นโรคซิฟิลิส  

  • ทันทีที่สงสัยว่าเป็นซิฟิลิส ควรพบแพทย์ตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว ขณะเดียวกันควรหลีกเลี่ยงจากการร่วมเพศ
  • โรคซิฟิลิสจะรักษาให้หายขาดได้ต้องอาศัยยาต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์
  • เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะปลายของโรคซิฟิลิส ควรยึดหลักบำรุงสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรงดังนี้
     

- อาหารต้องประกอบด้วยข้าว ผลไม้ ถั่วต่างๆ และผัก รวมทั้งนมและไข่

- งดเว้นจากสุรา บุหรี่ และสิ่งกระตุ้นทั้งปวง ตลอดจนน้ำชา กาแฟ และอาหารเผ็ดร้อนต่าง ๆ

- ดื่มน้ำมาก ๆ

- นอนพักผ่อนให้มาก และออกกำลังกาย

- อาบน้ำบ่อยๆ อาบน้ำอุ่นก่อนนอนสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง

 

 

การรักษาโรคซิฟิลิส

โรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะ เพนนิซิลลิน เป็นเวลา 1 - 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ระยะเวลาการรักษาขึ้นกับระยะของโรคที่เป็นด้วย และหากผู้ป่วยมีคู่สมรสก็ควรได้รับการรักษาคู่กัน และหลังจากรักษาไปแล้ว 6 เดือน ต้องตรวจซ้ำในทุกๆ ปี เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

 

 

ที่มาข้อมูล: โรงพยาบาลเปาโล
www.doctorraksa.com/th-TH