
"โรคแพ้ภูมิตัวเอง" หรือ "SLE" คืออะไร? อ่านตรงนี้มีคำตอบ
แม้ว่าจะมีคนพูดถึงโรค “SLE” กันอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่า “SLE” เกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร และต้องรักษาด้วยวิธีใด
จากอาการป่วยด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE ของ "คุณหญิงแมงมุม" ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล ธิดาใน ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล กับ หม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ทำเอาคนที่ทราบข่าวต่างเข้าไปให้กำลังใจผ่านอินสตาแกรมกันอย่างล้นหลาม และจากเคสนี้เองเป็นเหตุให้หลายคนหันมาสนใจและศึกษาโรคนี้กันอย่างจริงจังขึ้น ทั้งๆ ที่เคยมีนักร้องดังอย่าง “ผึ้ง” พุ่มพวง ดวงจันทร์ เสียชีวิตด้วยโรค “SLE” เมื่อหลายปีก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปแม้ว่าจะมีคนพูดถึงโรค “SLE” กันอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่า “SLE” เกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร และต้องรักษาด้วยวิธีใด อ่านตรงนี้มีคำตอบ
โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE (Systemic Lupus Erythematosus) เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติไปจากเดิม ซึ่งแทนที่จะทำหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกร่างกายกลับต่อต้านหรือทำลายเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายตนเอง จนก่อให้เกิดการอักเสบได้เกือบทุกอวัยวะของร่างกาย อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้บ่อย ได้แก่ ผิวหนัง, ข้อ, ไต, ระบบเลือด, ระบบประสาท เป็นต้น และจะมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งคือมีการกำเริบและสงบลงเป็นช่วงๆ ในบางรายอาจไม่แสดงอาการหรือมีอาการน้อย แต่บางรายอาการรุนแรงจนถึงชีวิตได้
สาเหตุของโรค SLE ที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด แต่จากการศึกษาของวงการแพทย์เชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้ได้คือ
- เพศ พันธุกรรม และเชื้อชาติ โดยพบว่าเพศหญิงเป็น SLE มากกว่าเพศชาย ( 9 : 1 ) ในช่วงอายุ 20-45 ปี และพบว่าฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะ เอสโตรเจนมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคและความรุนแรงของโรค ญาติพี่น้องกันมีโอกาสเป็น SLE ได้มากขึ้นโดยเฉพาะญาติพี่น้องผู้หญิงด้วยกัน ในส่วนของเชื้อชาติ พบอุบัติการณ์การเกิด SLE ในคนผิวดำและเหลืองมากกว่าคนผิวขาวโดยเฉพาะเอเชียตะวันออก
- สิ่งแวดล้อม ได้แก่ รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดหรือสารเคมี มีบทบาทกระตุ้นให้มีการเกิดโรค และการกำเริบของโรคได้ หรือแม้แต่การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิดก็สามารถกระตุ้นให้อาการกำเริบได้เช่นกัน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบว่าเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียชนิดใดที่เป็นสาเหตุของโรคนี้
- ความเครียด หากมีความเครียดทางร่างกายและจิตใจ การพักผ่อนไม่เพียงพอ การออกกำลังทำงานแบบหักโหม ก็มีส่วนทำให้ ผู้ป่วย SLE มีอาการกำเริบได้
- ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน การที่ระบบภูมิคุ้มกันมีผลต่อการตอบสนองต่อ antigen ของตัวเอง ทำให้มีการสร้าง antibody ที่ก่อโรคจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งจะไปจับกับ antigen ของตัวเองเกิดเป็น immune เชิงซ้อน ไปเกาะตามอวัยวะต่างๆทำให้เกิดกระบวนการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อตามมา
ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค SLE เมื่อมีอาการแสดงอย่างน้อย 4 ข้อใน 11 ข้อดังต่อไปนี้
- มีไข้รุมๆ ประมาณ 38 องศาเซลเซียส เป็นเวลานานๆ หลายๆ วัน
- มีผื่นแดงที่ใบหน้า บริเวณโหนกแก้ม สันจมูกลักษณะคล้ายผีเสื้อ
- เป็นแผลในปากคล้ายแผลร้อนในเป็นแล้วหายช้า
- ผื่นนูนแดง ขอบเขตชัดเจน มีสะเก็ด
- ข้ออักเสบชนิดหลายข้อ และมักเป็นทั้งสองข้างเหมือนกัน
- อาการแพ้แสงแดด
- การอักเสบของเยื่อบุชนิด Serous เช่น เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- อาการแสดงในระบบเลือด เช่น ซีดจากเม็ดโลหิตแดงแตก เม็ดโลหิตขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ
- อาการทางประสาท เช่น ชัก ซึม อธิบายจากสาเหตุอื่นไม่ได้
- การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการAntinuclear antibody ให้ผลเป็นบวก
- การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการหาAnti – DNA, LE cell, Anti – Smได้ผลบวก หรือผลบวกของ VDRL อย่างใดอย่างหนึ่ง
สำหรับเกร็ดความรู้ในเรื่อง SLE จะเห็นว่าการวินิจฉัยโรคนั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปนัก ถ้าเราให้ความสนใจใส่ใจในสุขภาพ ก็สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งเสริมการเกิดความรุนแรงหรือกระตุ้นการเกิดโรคได้ ดังนั้นถ้าเราสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้หรือไม่ก็ลองวินิจฉัยตัวเองในเบื้องต้นดู แต่อย่างไรก็ตามหากมีข้อสงสัย สิ่งที่ดีที่สุดสมควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ร่วมกับการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ
ข้อมูล-ภาพ : healthlabclinic