ใช่ “ภูมิแพ้ผิวหนัง” หรือไม่? ที่ทำให้ “บุ๋ม” ปนัดดา ถึงขั้นต้องหามส่ง ICU
อาการเป็นผื่นแดงคันขึ้นตามตัว อาจเกิดได้จากการแพ้ สัมผัส หรือระคายเคืองต่อสิ่งต่างๆ ในน้ำทะเล หรือไม่ก็แพ้อาหารที่กินเข้าไป หรืออาจจะแพ้สารเคมีต่างๆ
ใช่ “ภูมิแพ้ผิวหนัง” หรือไม่....จากข่าวอาการป่วยของ “บุ๋ม” ปนัดดา ถึงขั้นต้องหามเข้าห้อง ICU กระทันหัน ภายหลังแพทย์เผยสาเหตุเบื้องต้นว่าเป็นการแพ้ขั้นรุนแรง แต่ยังไม่ทราบสาเหตุว่าแพ้อะไร ซึ่งอาการก็ไม่ได้อะไรมาก นอกจาก “มีผื่นบวมแดงตามตัว” ซึ่ง “หมอแล็ปแพนด้า” ได้ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ว่า อาการเป็นผื่นแดงคันขึ้นตามตัว อาจเกิดได้จากการแพ้ สัมผัส หรือระคายเคืองต่อสิ่งต่างๆ ในน้ำทะเล โดยเฉพาะการสัมผัสกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตในทะเล พวก Cerenterate เช่น ตัวอ่อนของ Anemone ตัวอ่อนของแมงกะพรุนซึ่งมีขนาดเล็กมาก หรือไม่ก็แพ้อาหารที่กินเข้าไป หรืออาจจะแพ้สารเคมีต่างๆ ที่ใช้ เช่น ครีมกันแดด โลชั่น เป็นต้น
จากลักษณะอาการที่เกิดขึ้นคือ “มีผื่นบวมแดงตามตัว” ใกล้เคียงกับ “ภูมิแพ้ผิวหนัง” โดย ศ.นพ. เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย อธิบายว่า โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังเป็นๆ หายๆ มีชื่อภาษาอังกฤษ ว่า Atopic dermatitis สำหรับชื่อภาษาไทยมีหลายชื่อ เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบไวเกิน โรคผิวไว เป็นต้น โรคนี้พบบ่อยในเด็ก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมอยู่เป็นพื้นฐาน ผู้ป่วยมักมีประวัติแพ้อากาศ ไอ จามบ่อยๆ หอบหืดหรือเยื่อบุตาอักเสบ โดยเฉพาะเวลาที่อากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลงคนในครอบครัวของผู้ป่วยมักมีประวัติ โรคภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ ไอ จามบ่อยๆ หอบหืด หรือผิวหนังอักเสบภูมิแพ้
อาการ
ผิวหนังโดยทั่วไปของผู้ป่วยจะค่อนข้างแห้ง อาการและอาการแสดงของโรคจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอายุของผู้ป่วย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- วัยทารก พบระหว่างอายุ 2 เดือนถึง 2 ปี ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไป โดยมักจะเริ่มพบผื่นแดงคัน มีตุ่มแดงและตุ่มน้ำเล็กๆอยู่ในผื่นแดงนั้น ที่แก้มถ้าตุ่มน้ำแตกออกจะมีน้ำเหลืองเยิ่มหรือตกสะเก็ด อาจพบร่องรอยจากการเกาหรือขัดถู โดยเฉพาะบริเวณที่ทารกคืบ ถูไถ สัมผัสกับพื้นหรือที่นอน ผื่นอาจลุกลามไปยังผิวหนังบริเวณอื่นๆของร่างกาย เช่น ลำตัว ข้อศอก เข่า ในรายที่เป็นมากๆ ผื่นจะเกิดทั่วร่างกายได้
- วัยเด็ก อายุระหว่าง 2-12 ปี ตำแหน่งรอยโรคที่พบบ่อย ได้แก่ บริเวณรอบคอ ข้อพับด้านในของแขนและขา เมื่อโรครุนแรงอาจลุกลามไปยังผิวหนังส่วนอื่นๆได้ ผื่นมักประกอบด้วยตุ่มนูนแดงแห้งๆ มีขุยเล็กน้อย มักไม่พบตุ่มน้ำแตกแฉะเหมือนวัยทารก มีอาการคัน ผู้ป่วยมักเกาจนเกิดรอยถลอกหรืออาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในรอยโรคได้
- วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ มักพบผื่นบริเวณรอบคอ ข้อพับแขน ขา คล้ายที่พบในเด็กโต ในรายที่เป็นมากๆผื่นจะเกิดทั่วร่างกายได้เช่นกัน ผู้ป่วยโรคนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดผิวหนังอักเสบบริเวณมือได้ง่าย
ปัจจัยที่ทำให้ผื่นผิวหนังอักเสบกำเริบ
- สภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น สภาวะที่มีละอองเกสร แมลง ขนสัตว์ ไรฝุ่น สิ่งเหล่านี้ทำให้ผื่นมีอาการคันมากขึ้น
- เชื้อโรคชนิดต่างๆ เช่น แบคทีเรีย เขื้อรา อาจแทรกซ้อนทำให้เกิดการติดเชื่อบนผิวหนังของผู้ป่วย ผิวหนังที่อักเสบอยู่เดิมจะกำเริบมากขึ้น กรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วย
- ฤดูกาล ผื่นผิวหนังอักเสบมักมีอาการมากขึ้นในฤดูหนาว เพราะความชื้นในอากาศต่ำ อากาศที่แห้งและเย็นจะทำให้ผิวหนังผู้ป่วยคันและอักเสบมากขึ้น ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการมากขึ้นในช่วงฤดูร้อน เพราะอากาศที่ร้อนทำให้เหงื่อออกมากทำให้ผู้ป่วยมีอาการคันและเกิดผื่นผิว หนังอักเสบมากขึ้นได้เช่นเดียวกับฤดูหนาว
- เสื้อผ้า ไม่ควรใช้เครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับที่มีขน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์เพราะจะทำให้เกิดการค้นเพิ่มมากขึ้น
- สบู่ ผงซักฟอก ที่มีฤทธิ์เป็นด่างจะละลายไขมัน ทำให้ผื่นผิวหนังอักเสบเป็นมากขึ้นได้
- อาหาร ผู้ป่วยโรคนี้ประมาณร้อยละ 10 พบว่าอาหารบางชนิดเป็นตัวกระตุ้นให้ผื่นกำเริบได้
หลักการดูแลและรักษา
1. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น เช่น
- หลีกเลี่ยงการใช้หรือสัมผัสกับสารระคายเคือง
- สบู่ควรใช้สบู่อ่อนๆ ไม่ควรใช้สบู่บ่อยเกินไป
- ผงซักฟอกเลือกชนิดที่ระคายเคืองน้อยควรซักล้างออกให้หมด
- เสื้อผ้าเลือกใช้เสื้อผ้านุ่มโปร่งสบาย เช่น ผ้าแพร ผ้าฝ้าย หลีกเลี่ยงผ้าขนสัตว์
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมากๆ
- ลดความเครียด ความวิตกกังวล
2. แนะนำไม่ให้ผู้ป่วยเกา เนื่องจากการเกาจะทำให้ผื่นผิวหนังที่อักเสบกำเริบเห่อมากขึ้น อาจรับประทานยาต้านฮีสตามีนเพื่อช่วยลดอาการคัน
3. ป้องกันและรักษาผิวแห้งโดยการทามอยซ์เจอไรเซอร์ หรือโลชั่น ควรทาหลังอาบน้ำทันที ถ้าผิวหนังยังแห้งมากควรทาเพิ่ม สามารถทาได้วันละหลายครั้ง
4. ยาทากลุ่มสเตียรอยด์มีฤทธิ์ลดการอักเสบของผื่นผิวหนัง ควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะโรคกลุ่มนี้ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ถ้าใช้ยาไม่ถูกต้อง ปัจจุบันมียาทากลุ่มใหม่ ได้แก่ tacrolimus และ pimecrolimus ซึ่งควบคุมอาการของโรคได้ดีพอควรแต่มีราคาแพง การใช้ยากลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์
5. กรณีที่มีตุ่มหนองเกิดแทรกซ้อนบนตุ่มหรือผื่นแดง แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์เพราะผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย
6. การรักษาอื่นๆเช่น การฉายแสงอาทิตย์เทียม การรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ใช้ในรายที่เป็นรุนแรงมากและเป็นบริเวณกว้าง ไม่สามารถรักษาได้ผลด้วยวิธีต่างๆข้างต้นได้แล้ว ควรปรึกษาแพทย์