
จิตแพทย์แนะวันมาฆบูชาฤกษ์ดีลดโกรธด้วยการให้
กรมสุขภาพจิต ชี้ความขัดแย้ง ความรุนแรงในสังคม เป็นผลพวงมาจากความโกรธ แนะวันมาฆบูชา โอกาสดีเริ่มต้นพัฒนาอารมณ์และจิตใจ ลดความโกรธ ด้วยการให้
(22ก.พ.) นพ.สุจริต สุวรรณชีพ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวถึง สถานการณ์สังคมในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง การทำลายชีวิตและทรัพย์สินกันและกัน ว่า เหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่คนเราตกเป็นทาสของความโกรธ เนื่องจากไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการหรือคาดหวังไว้ ทำให้เกิดความทุกข์ใจ และเมื่อใดที่ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการอารมณ์โกรธนั้นได้ ย่อมทำให้เกิดการระเบิดอารมณ์หรือที่เรียกว่าฟิวส์ขาดหรือเบรกแตก ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมแสดงออกที่ก้าวร้าวรุนแรง ที่อาจแสดงออกด้วยคำพูดหรือการทำร้ายตนเองและผู้อื่นในที่สุด
ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ความโกรธ นอกจากทำให้ทุกข์ใจแล้วยังเป็นเหตุให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาอีกด้วย ทำให้ประสาทตึงเครียด ปวดศีรษะไมเกรน ปวดหลัง ปวดท้อง เป็นโรคกระเพาะ ความดันโลหิตสูง และเป็นโรคหัวใจ ดังนั้น การสกัดกั้นอารมณ์โกรธจึงเป็นเหมือนการตัดไฟแต่ต้นลม ถึงแม้ทำยากแต่จำเป็นต้องฝึกฝนให้ติดเป็นนิสัย
ซึ่งเมื่อใดถ้าเรารู้เท่าทันอารมณ์โกรธของตัวเอง สามารถระงับหรือควบคุมความโกรธนั้นได้อย่างเหมาะสมแล้ว ก็จะสามารถควบคุมคนอื่นได้เช่นกัน และในวันมาฆบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา กับหลักธรรม 3 ประการหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา การละเว้นความชั่ว ทำความดี ทำใจให้ผ่องใสบริสุทธ์ ถือเป็นโอกาสดีที่พี่น้องพุทธศาสนิกชนจะได้น้อมนำหลักธรรมคำสอน มาประยุกต์ใช้เพื่อความสุขในการดำเนินชีวิต ซึ่งการมีสติรู้เท่าทันอารมณ์โกรธและความรู้สึกนึกคิดของตนเองรวมทั้งสามารถจัดการอารมณ์โกรธที่พลุกพล่านในใจลงได้ ย่อมทำให้เรามีจิตใจที่ผ่องใส มีความสุขมากขึ้น
นพ.สุจริต ได้แนะวิธีการลดความโกรธในใจ โดย การให้ เนื่องจาก การให้ทำให้เกิดการแบ่งปัน เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะรองรับการทำความดีอื่นๆที่จะตามมา เป็นการสร้างความดีที่ง่ายที่สุด ช่วยให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ทั้งนี้ การให้ ไม่จำเป็นต้องให้เฉพาะวัตถุสิ่งของเสมอไป อาจให้ด้วยการให้ความรักความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน ซึ่งความเมตตาเป็นเหมือนน้ำเย็นที่ใครๆ ก็ต้องการอยากเข้าใกล้ ทำให้เป็นที่รักของผู้พบเห็น หรือจะให้ด้วยการให้อภัย ที่ถึงแม้จะทำได้ยากแต่ก็ควรฝึกฝนทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ
เนื่องจากผู้ที่ไม่สามารถให้อภัยได้ย่อมทำให้เกิดความทุกข์เรื้อรัง มักโกรธและผิดหวังได้ง่ายๆ การให้อภัยจึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับตัวเองและผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นได้แก้ไขปรับปรุงตัว และทำให้ตัวเองได้รู้จักปล่อยวาง ฝึกนิสัยและจิตใจให้เย็นลง ผู้ที่ทำได้ย่อมเป็นผู้ชนะ เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง นอกจากนี้ ยังสามารถให้ในอีกหลากหลายรูปแบบ อาทิ
การให้ความกตัญญูกตเวที การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การให้คำขอบคุณหรือขอโทษ การให้คำยกย่องชมเชย และที่ง่ายสุด คือ การให้รอยยิ้ม ภาษาสากลที่สามารถสร้างสัมพันธ์กันได้ทุกภาษา เชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม และ การยิ้ม ยังช่วยลดความโกรธได้ ทำให้ระบบภายในร่างกายผ่อนคลายลง ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด โดยร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (endorphin) หรือสารแห่งความสุข ทำให้สดชื่นแจ่มใส สร้างมิตร ลดความแปลกแยก เพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวเองและคนรอบข้างที่สำคัญ
"อย่าลืมที่จะให้สิ่งดีๆกับตัวเองก่อน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรัก หรือให้กำลังใจ รวมทั้งการให้โอกาสตัวเองได้พัฒนาอารมณ์และจิตใจอย่างสม่ำเสมอ การรอและการคาดหวังการให้จากผู้อื่นย่อมทำให้ตกเป็นทาสของความโกรธ ได้โดยง่าย วงจรการเกิดความทุกข์ใจ เกิดการทำลายล้างกัน ก็จะวนเวียนไปอย่างไม่สิ้นสุด" ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวทิ้งท้าย