
ย้อนรอยสถานที่ละสังขารหลวงปู่ทวด ณ แดนเสือเหลือง
ณ ใจกลางเมืองเบตง อำเภอที่ถือว่า คือ ใต้สุดของแดนสยาม ผมกับมิตรจากแดนไกล บล็อกเกอร์ปราณชลี, บล็อกเกอร์หนุมานชาญสมร บล็อกเกอร์ turtlerun และบล็อกเกอร์ก้อนหินรำพัน ภายใต้นาม "สำนักหัวใจเดียวกัน" รวมห้าชีวิต ได้เดินทางตามรอยไปเสาะหาสถานที่ละสังขารของ
เรามาถึงด่านพรมแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อข้ามเขตแดนระหว่างประเทศ เข้าเขตกิ่งอำเภอโกร๊ะห์รัฐเคดาห์หรือไทรบุรีของรัฐสยามในอดีต แวะเติมน้ำมันเบนซิน 95 ราคาถูก เพราะมาเลเซียอุดหนุนกองทุนน้ำมันเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ประมาณ 40 นาที เราก็ถึง อำเภอกริ๊ก ซึ่งจุดหมายต่อไปคือ “ขับรถตรงต่อไปประมาณ 5 หรือ 30 กิโลเมตรก็จะถึงกำปงซาวา ให้สังเกตด้านขวาจะมีป้ายบอกชัดเจน !” นั่นคือคำบอกกล่าวของเพื่อนชาวเบตง
ขับรถไปได้ 20-30 นาที ก็เริ่มลังเล เพราะไม่เห็นมีวี่แววของ กำปงซาวา หรือป้ายหลวงปู่ทวดด้านขวาสักที ผมขับไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าน่าจะหลง บล็อกเกอร์ปราณชลีก็หลุดปากขึ้นมาว่า “พวกเราควรหยุดเพื่อทบทวนใหม่ดีกว่า” ก็เลยจอดเทียบข้างทางทันที ปาฏิหาริย์มีจริง ห่างไปข้างหน้าเพียง 20 เมตร ก็คือป้ายกำปงซาวานั่นเอง
พวกเราช่วยกันส่งเสียงเฮเล็กน้อย ผมเลี้ยวขวาทันที ขับเข้าไปตามทางถนนลาดยาง 500 เมตร เราก็พบ สำนักสงฆ์ตั้งอยู่ด้านขวา ผมเทียบรถข้างทาง ทุกคนชักกล้องเตรียมบันทึกภาพ ผองเพื่อนบล็อกเกอร์เข้าไปเสวนากับพระสงฆ์รูปหนึ่งที่จำพรรษาอยู่ที่นี่ ทราบว่าท่านมาจากจังหวัดพะเยา ท่านบ่นพึมพำว่า "เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยมาแล้ว สมัยก่อนนี้จอดยาวไปถึงถนนใหญ่กว่าครึ่งกิโลเมตร"
สังเกตโดยรอบบริเวณ ด้านหน้าของสำนักสงฆ์จะมี องค์จตุคามใหญ่ตั้งตระหง่าน มีพระประทานหลวงปู่ทวดอยู่ด้านใน ถัดไปด้านซ้ายมีท่อบล็อกครอบบ่อน้ำอยู่ข้างๆ เข้าใจว่าแสดงถึงบ่อศักดิ์สิทธิ์ ใช้เวลา 15 นาที เราก็ออกเดินทางต่อไปข้างหน้า เพราะพระท่านบอกว่าสถานที่ละสังขารของหลวงปู่ทวดอยู่ริมฝั่งน้ำสุไหงเกอร์ และสุไหงเกอร์นาริง ต้องข้างหน้าอีก
ผมขับรถออกไปอีกเพียง 200 เมตร ก็เจอป้ายไม้อัด เขียนด้วยมือหยาบๆ เป็นภาษาจีน แทรกด้วยภาษาไทย เนื้อหาบอกว่า บ่อน้ำหลวงปู่ทวดของแท้ โดยมีฤษีตนหนึ่งดูแลอยู่ พวกเราก็ลงไปดู และถ่ายรูป ไม่พบเจ้าของสำนักเจอแต่สิ่งของเครื่องใช้ รูปสักการะ บ่อน้ำร้าง เห็นรูปประทานพระนารายณ์องค์หนึ่ง พวกเราเริ่มมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย สงสัยงานนี้เจอของดีแหงๆ...
เราเดินทางออกจากสำนักฤษีมาอีกเพียง 500 เมตร เราก็พบอีกสำนักสงฆ์อีกแห่งหนึ่ง แต่แห่งนี้เป็นสำนักที่ดูใหญ่โต ดูน่าเชื่อถือมากกว่า คงจะเป็นสถานที่ที่เขาร่ำลือกัน ถึงสถานที่ที่พากันมาสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวดหลายรุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่ภาพที่เห็น ดูเงียบเหงา มีพระสองรูปจำพรรษาอยู่ที่นี่ องค์หนึ่งที่ชราภาพกว่ามาจากอีสาน จากการสังเกตสถานที่นี้คงจะผ่านช่วงรุ่งเรืองขีดสุดมาแล้ว เหตุใดวันนี้จึงไร้ผู้คนเดินทางมาเยือน ร้านค้าขายของที่ระลึก ธูปเทียน และอาหารหน้าสำนักสงฆ์ มีอยู่ 3-4 ร้าน
หลังจากบันทึกภาพจนหนำใจ ปราณชลีและทีมงานจึงแวะไปกราบลาพระสงฆ์ทั้งสองรูป พร้อมๆ กับคำชี้แนะถึงสถานที่ละสังขารที่แท้จริง ว่าอยู่ริมฝั่งน้ำสุไหงเกอร์ตรงฝั่งถนนด้านโน้นนี่เอง
เรารีบออกเดินทางตามคำบอก แต่เข้าผิดหมู่บ้านไปโผล่ฟิชชิ่งปาร์ค ริมแม่น้ำหนึ่งรอบ วกวนไปมา สุดท้ายเราตัดสินใจย้อนกลับไปถามคนที่ร้านค้าหน้าสำนักสงฆ์ คราวนี้ ปราณชลีเราได้แผนที่ขนาดย่อมๆ ที่เขียนด้วยมือมาหนึ่งฉบับ แต่เราก็ยังหลงวนไปมาเหมือนเดิม
สุดท้ายพวกเรามาหยุดตั้งหลักที่ปากทางเข้าหมู่บ้านชาวมลายู ที่ตั้งอยู่ริมถนนหลักที่มีรถบัสโรงเรียนจอดอยู่ตามแผนที่ ซึ่งอยู่ห่างซาวาเพีาหมู่บ้านริมถนนหลัก ตามที่แม่ค้าคนจีนได้เขียนแผนที่ไว้ให้ จากกำปงซาวา 1,500 เมตร โชคดีที่มีหญิงสาวชาวมาเลย์เดินเล่นกับลูกๆ อยู่แถวนั้น บล็อกเกอร์ปราณชลีจึงลงไปสอบถาม จึงได้ความว่า สถานที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่เพียง 200 เมตร จากนั้นเด็กชาวมาเลย์อายุประมาณ 10 ขวบ ก็อาสานำพาไปถึงที่ แต่มีอากัปกิริยาลักษณะสงสัยว่า จะดูไปทำไม?
พวกเราเดินเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เพียงพริบตาพวกเราก็เห็นสถานที่ละสังขารของหลวงปู่ทวดตั้งอยู่ตรงหน้า สถานที่ที่มิตรจากแดนไกลบุกบั่นมุ่งมั่นจะมาให้ถึง ด้วยปรารถนาที่จะมีโอกาสสักครั้งในชีวิต ที่จะเดินทางมาสัมผัสสถานที่ละสังขารของหลวงปู่ทวดสักครั้งในชีวิต
ภาพตรงหน้าที่เราเห็นนั้น คือ อาคารทรงโปร่งขนาด 4 คูณ 8 เมตร ภายใต้ชายคานั้นก็มีสถูปอยู่ 2 สถูป สภาพเก่าหนึ่งสถูปและใหม่หนึ่งสถูป บริเวณด้านข้าง ด้านหนึ่งเป็นกอไผ่ ด้านหนึ่งมีดินโคลนร่องรอยเหมือนทางน้ำยามฝนไหลบ่า แซมด้วยเศษขยะจากชุมชนที่กองอยู่ข้างอาคาร
ปราณชลีหันไปเสวนาภาษามลายูกับสองหนุ่มที่กำลังตกปลาอยู่ริมคลองข้างๆ สถานที่ดังกล่าว ก็ทราบว่า ปัจจุบันสถานที่นี้ไม่มีคนดูแล และไม่ค่อยมีใครสนใจมาเยือนเหมือนเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งหมู่บ้านนี้เป็นมลายูล้วนๆ จึงตกสภาพอย่างที่เห็น พวกเราก็ใช้เวลา ประมาณ 10 นาที ก็เดินกลับออกมา
ขณะนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. พวกเรามุ่งหน้ากลับเบตงด้วยความอ่อนล้าทั้งกายและใจ แม้จะกลับเส้นทางเดิม แต่อารมณ์ความรู้สึกในขากลับช่างแตกต่างกันลิบลับกับตอนขามา พวกเราพร่ำบ่น และรู้สึกระอาต่อระบบพุทธพาณิชย์ที่หากินกับความศรัทธาของมนุษย์ โดยไม่เคยแยกแยะต่อความถูกผิด ดีชั่ว
แม้ผมจะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ กับสถานที่ประวัติศาสตร์กว่า 300 ปี ถูกทิ้งร้างโดยไม่รับการเหลียวแล จากผู้ที่ได้ชื่อว่า “พุทธบริษัท”
เพื่ออรรถรสในการอ่านควรอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก
"ย้อนรอย มรณสถานหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด"
http://www.thaisouthtoday.com/index.php?file=story&p=pt&obj=forum(586)
http://www.oknation.net/blog/localbetong