ทำไมจึง “ปวดหัว” ในวันที่ไม่ได้ดื่มชา หรือ กาแฟ

"คาเฟอีน" หรือสารที่อยู่ในเครื่องดื่มอย่าง ชา/กาแฟ เป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง ซึ่งสารเสพติดนี้ไม่ได้ทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้หรือประสาทหลอนเหมือนยาเสพติดที่เขาตามจับกันในข่าวทั่วไป แต่คาเฟอีนเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า โดยการเข้าไประงับการทำงานของสาร 'อะดีโนซีน' หรือสารที่ทำให้เราง่วงและอ่อนเพลียนั่นเอง 

แต่...ถ้าเราเกิดเสพติดความรู้สึกฟินๆ หัวโล่งๆ นั้นจนเผลอกดื่มคาเฟอีนเยอะเกินไปมันจะทำให้หลอดเลือดของเราหดลงซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าร่างกายต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น พอวันไหนที่เราไม่ได้รับคาเฟอินเลย จึงทำให้เลือดไหลอย่างอิสระโดยไม่มีอะไรกั้น อาการปวดหัวเดิมๆ ก็กลับมาและอาจจะมากขึ้นจนรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเสียให้ได้ ดังนั้นหากใครที่ยิ่งดื่มกาแฟในปริมาณที่มากเท่าใด ก็จะได้รับ คาเฟอีนมากขึ้นเท่านั้น และวันใดที่ขาดคาเฟอีนไป อาการปวดหัวก็จะทวีความรุนแรงตามไปด้วย 

รู้ไหมคาเฟอีนถูกใช้เป็นยาแก้ปวด
ความสุดยอดของคาเฟอิน คือ มันมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปวดหัวได้ดีมากจนถูกนำไปใช้เป็นยารักษาอาการปวดหัว ปวดไมเกรน และสามารถทำให้อาการดีขึ้นกว่า 40% เลย เพราะคาเฟอินจะไปทำให้หลอดเลือดที่ขยายตัวผิดปกตินั้นหดตัวลงเราจึงรู้สึกหัวโล่งสบาย กระปรี่กระเปร่า

ถ้าหากรู้สึกปวดหัวจะมีวิธีบรรเทายอย่างไรบ้าง

1. หนีไปประเทศ อิสรเอน (เอนหลังแล้วงีบสักแป๊บ) ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเลย เชื่อหรือไม่ว่าการพักผ่อนให้เพียงพอเป็นวิธีที่เบสิคมากๆ ที่ทำให้เราไม่ปวดหัว โดยมีการศึกษาความเชื่อมโยงของอาการปวดหัวและการพักผ่อนพบว่า 81% ของคนที่ปวดหัวมีอาการดีขึ้นหลังจากได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

2.การดื่มน้ำให้เยอะๆ อย่างน้อยก็วันละ 8 แก้วเพราะการดื่มน้ำมากๆ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างเยี่ยม

3. ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่ปวด ความเย็นนั้นจะช่วยชะลอการไหลเวียนเลือดให้เป็นปกติ
 

4. การนวดเบาๆ โดยใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเราคลึงเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นความดันเลือดและผ่อนคลายหลอดเลือดของเราได้

หากคุณผู้อ่านรู้ตัวว่าตัวเองเสพติดคาเฟอีนแล้วอย่าตกใจแล้วก็หยุดกินแบบหักดิบเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้ปวดหัวอย่างที่บอกไป วิธีการที่ดี คือ ค่อยๆ ลดมันลงที่ละนิดทีละน้อย บางคนอาจจะกินชา กาแฟในปริมาณมาก ก็ค่อยๆ ลดจากวันละหลายแก้วก็เหลือวันละไม่กี่แก้ว จนเหลือวันละแก้วจะเป็นปริมาณที่กำลังดี

ที่มารูปภาพและข้อมูล:
https://www.facebook.com/JonesSaladThailand
https://www.health.harvard.edu/blog/