"มะเฟือง"เปรี้ยวหวาน ประโยชน์ในการลดไขมัน

ประโยชน์ของ"มะเฟือง" ที่มีต่อสุขภาพประกอบด้วย ลดไขมันในเลือด   หรือ คอเลสเตอรอล   ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด     อันมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร    ซึ่งภาวะคอเลสเตอรอลสูง  เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้น เนื่องจากคอเลสเตอรอล  จะไปเกาะตัวกันบนผนังหลอดเลือด   ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก

 

หากร่างกายมีการสะสมไขมันคอเลสเตอรอลมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะอ้วนหรือเสี่ยงเผชิญปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมาได้ ทั้งนี้ "มะเฟือง" ซึ่งเป็นผลไม้ มีเส้นใยอาหารสูงและมีสารประกอบอื่น ๆ ที่เชื่อว่าอาจช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลได้   ต้านอนุมูลอิสระ    สารอนุมูลอิสระมีหน้าที่สำคัญต่อกระบวนการทำงานภายในเซลล์ แต่หากสารนี้มีความเข้มข้นสูง อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและสร้างความเสียหายต่อเซลล์ส่วนต่าง ๆ เสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพตลอดจนเสี่ยงเผชิญโรคร้ายอย่างมะเร็งได้ด้วย

 

 ใน "มะเฟือง"  มีแหล่งของสารอาหารมีประโยชน์  ทั้ง  เควอซิทิน (Quercetin) อีพิคาเทชิน (Epicatechin) และกรดแกลลิก (Gallic Acid) มีคุณสมบัติต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันโรคและการเจ็บป่วยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ได้ และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น กรดแกลลิกช่วยกระตุ้น กระบวนการเจริญเติบโต และสารเควอซิทินช่วยลดการอักเสบของต่อมลูกหมาก เป็นต้น

 

 

ต้านการอักเสบ  "มะเฟือง"มีสารประกอบ ที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบ   ป้องกันมะเร็งตับ    มะเร็งตับเกิดจากเซลล์บริเวณตับมีลักษณะหรือการทำงานผิดปกติ และมะเร็งตับชนิดที่พบได้มาก คือ มะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma: HCC)    อย่างไรก็ดี แม้ มะเฟืองจะเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานโดยทั่วไป อุดมไปด้วยสารอาหารมีประโยชน์ แต่ในปัจจุบันยังมีข้อมูลทางสุขภาพเกี่ยวกับมะเฟืองน้อยมาก

 

 

 

 ดังนั้น ผู้บริโภคควรรับประทานมะเฟืองในปริมาณเหมาะสม  เพื่อความปลอดภัยเบื้องต้นในการรับประทานมะเฟือง ผู้บริโภคควรเลือกผลที่สุกเต็มที่ ไม่เน่าเสีย ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้น แล้วนำเมล็ดออกก่อนรับประทาน

 

นอกจากนี้ ผู้บริโภคบางรายอาจพบผลข้างเคียงจากการรับประทานมะเฟือง เนื่องจากในมะเฟืองมีสารออกซาเลต (Oxalate) ปริมาณมาก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ไตเกิดความเสียหายหรือเป็นนิ่วในไตได้

 

ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะเฟือง เพราะอาจได้รับอันตรายจากการทำลายระบบประสาท ทำให้เกิดอาการสับสนมึนงง ชักเกร็ง หรืออาจป่วยรุนแรงถึงชีวิตได้ 

 

ภาพประกอบจาก https://pixabay.com/th/

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก พบแพทย์