
ฝ้ายเมืองไทย
เมื่อหลายสิบปีก่อนนี้ เมืองไทยปลูกฝ้ายเป็นพืชเศรษฐกิจหลักอย่างหนึ่งของเรา และได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐในด้านต่างๆ รวมทั้งความรู้ทางวิชาการและพันธุ์ ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นมาโดยตลอด แต่ว่าปัจจุบันเด็กไทยเราแทบจะไม่เคยเห็นต้นฝ้ายในเมืองไทยอีกเลย
คำถามก็คือว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อประมาณปี 2504 เป็นต้นมา การปลูกฝ้ายได้รับการส่งเสริมเป็นอย่างดี ผลผลิตฝ้ายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2516 เกิดโรคแมลงศัตรูระบาดอย่างมาก จนกระทั่งผลผลิตฝ้ายเหลือเพียง 10% ของความต้องการฝ้ายทั้งหมด และนับตั้งแต่นั้นมา เมืองไทยก็ต้องสั่งฝ้ายเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อป้อนโรงงานที่เปิดดำเนินการอยู่ ปัจจุบันเราต้องการฝ้ายปีละประมาณ 3.5 แสนตัน ในขณะที่ผลิตได้เองเพียงแค่ 1.5-2.5 หมื่นตันเท่านั้น มูลค่านำเข้าฝ้ายของเราตกประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เข้าไปแล้ว
เมืองไทยเคยมีพื้นที่ปลูกฝ้ายมากถึงล้านไร่ แต่ปัจจุบันหายไปจนเหลือไม่ถึง 3 แสนไร่ และคงจะมีแนวโน้มลดลงทุกปี สาเหตุสำคัญก็คือ ฝ้ายเป็นพืชที่มีแมลงศัตรูมารบกวนมาก โดยเฉพาะหนอนเจาะสมอฝ้าย ดังนั้นเกษตรกรจะต้องพ่นสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูฝ้ายปีละประมาณ 10-14 ครั้ง
ผลก็คือ ต้นทุนการผลิตฝ้ายสูงขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่น้ำมันแพง ราคาสารเคมีเกษตรก็เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันไปด้วย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นก็คือ ผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเกษตรกร และผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เรื่องนี้คือสาเหตุหลักของการลดพื้นที่ปลูกฝ้าย ทั้งๆ ที่เรายังมีความต้องการมาก หากไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไข ก็คงจะไม่มีการปลูกฝ้ายในเมืองไทยให้เห็นอีกต่อไป
วิธีการที่หลายประเทศทำกันอยู่ก็คือ การพัฒนาสายพันธุ์ฝ้ายที่ต้านทานต่อแมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนอนเจาะสมอฝ้าย และที่เรารู้จักกันดีก็คือ ฝ้ายบีที ซึ่งเกิดจากการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ตัดต่อยีนจากแบคทีเรียที่สามารถสร้างสารพิษขึ้นมาฆ่าหนอนได้ โดยใส่ยีนดังกล่าวเข้าไปในฝ้าย ทำให้ฝ้ายต้านทานต่อแมลงสำคัญตัวนี้ได้ แต่ว่าในเมืองไทยยังติดปัญหาเรื่องการยอมรับให้มีการใช้พืชที่ตัดแต่งพันธุกรรมดังกล่าว ก็เลยยังไม่มีการปลูกฝ้ายบีทีในเมืองไทย
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำโดย ศ.ดร.ประภารัจ หอมจันทน์ จากภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร และนักวิจัยร่วมงานอีกหลายคน ได้ช่วยกันพัฒนาพันธุ์ฝ้ายขึ้นมาใหม่ โดยไม่ได้ใช้การตัดต่อยีน แต่เป็นการใช้รังสีแกมมากระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ ในที่สุดก็ได้ฝ้ายพันธุ์กลายขึ้นมา และตั้งชื่อว่า ฝ้ายพันธุ์ มก.1 ซึ่งเป็นฝ้ายที่ต้านทานแมลง และให้ผลผลิตดี
โดยสรุปหน้าตาคร่าวๆ ก็คือ เป็นฝ้ายที่ทรงต้นโปร่งคล้ายพันธุ์ศรีสำโรง 60 แต่ทรงพุ่มใหญ่กว่า จำนวนสมอเฉลี่ย 33 สมอต่อต้น ได้ผลผลิตปุยฝ้ายทั้งเมล็ดเฉลี่ย 302.5 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ยของฝ้ายพันธุ์อื่น และมีอายุเก็บเกี่ยว 110-160 วัน
จากการที่ได้ฝ้ายพันธุ์ใหม่ที่ต้านทานต่อหนอนเจาะสมอฝ้าย โดยกรรมวิธีการปรับปรุงพันธุ์แบบนี้ จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในการที่จะรื้อฟื้นฝ้ายให้กลายมาเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญดังเดิมได้อีกครั้งหนึ่ง หากมีการส่งเสริมที่เหมาะสมจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพราะจะได้เป็นทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรไทยในการที่จะเลือกปลูกพืชที่ใช้สารเคมีน้อยลงและมีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมทั้งเป็นช่องทางให้เกษตรกรเลือกปลูกแทนพืชที่มีปัญหาเรื่องราคา เนื่องจากความต้องการของฝ้ายในประเทศยังมีสูงมาก
ไม่เหมือนกับพืชอื่นอีกหลายชนิดที่เราต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเพียงอย่างเดียว!
พีระเดช ทองอำไพ